วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

Malta มอลตา สวรรค์ราคาถูก


Malta สวรรค์ราคาถูก

Malta มอลตา สวรรค์ราคาถูก
Valletta, the capital of Malta
หลายๆ คนอาจจะยังไม่คุ้น หรือไม่เคยได้ยินชื่อประเทศมอลตามาก่อน ขอเกร่นเล็กน้อยก่อนคือประเทศ Malta อยู่ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี แถมยังอยู่ในเขตประเทศที่สามารถใช้ Schengen VISA เข้าได้อีกด้วย ประเทศนี้เป็นประเทศหนึ่งที่สวยงามและมีค่าครองชีพถูกมากๆ สำหรับการท่องเที่ยวในยุโรปครับ
วันแรกไปถึง โชคดีมากมาช่วงงาน Malta Medieval Festival 2011 พอดี เลยได้ไปเดินดูงานที่จัดอยู่ภายในเขตเมืองเก่า (ซึ่งประเทศ Malta นี้มีทั้งธรรมชาติที่สวยงาม และประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน) โดยรวมๆ แล้วเค้าจัดงานค่อนข้างดี ทั้งที่มีชาวเมืองแต่งกายตามยุคสมัยนั้นเดินไปเดินมา เดินพาเหรด โชว์การต่อสู้ ตลอดทั้งวัน
โชว์การต่อสู้
การแสดงต่างๆ
พาเหรดของชาวท้องถิ่น
วิวจากบนกำแพงเมืองสวยงามมาก เพราะกำแพงเมืองเก่าที่อยู่นี้เป็นเมืองค่อนข้างสูงเลยเห็นวิวของเมืองรอบๆ ข้างไปจนถึงชายทะเลเลย
หลังจากเดินดูงานและเขตเมืองเก่าได้เกือบค่อนวันก็เหนื่อยพอสมควร เลยพากันไปร้านขนมขาประจำของคนท้องถิ่น ร้านนี้เป็นร้านขายขนมท้องถิ่นแค่สองสามอย่างเท่านั้นแต่มีคนท้องถิ่นแวะเวียนเดินเข้าออกตลอดวัน เนื่องด้วยจากการที่เป็นของว่างยอดนิยม และเป็นร้านที่พบปะสังสรรค์ของคนท้องถิ่น และราคาถูกมาก! ขนมที่เห็นในภาพชิ้นละแค่ 25 cent หรือแค่ 10บาท เท่านั้น
ขนมและเครื่องดื่มท้องถิ่นของ มอลตา
ขนมทรงคล้ายๆ กะหรี่ปั๊ป แต่แป้งกรอบบางคล้ายๆ พาย มีสองใส้คือชีสและถั่ว อร่อยมากทั้งสองอย่างเลย :) ส่วนน้ำดื่มข้างๆเป็น soft drink แบบไม่อัดลมชื่อ Kinnie รสชาติแปร่งๆ นิด ข้างๆ ขวดเขียนบรรยายรสชาติตัวเองว่า ”A refreshing non-alcoholic drink made from bitter oranges and aromatic herbs” รสชาติก็ตามนั้นจริงๆ ถูกใจคนท้องถิ่นเป็นน้ำยอดนิยมแต่แค่ไม่ถูกปากเราเท่านั้น
จากนั้นเราก็เดินไปดูพระอาทิตย์ตกดินในหมู่บ้านข้างๆ
อาคารรูปทรงแปลกตาอยู่ริมหน้าผาที่จะไปดูอาทิตย์ตกดิน
อาทิตย์ตกดินที่ Malta :)
เช้าวันต่อมาก็ไปเดินเล่นเมืองหลวงของประเทศนี้ที่ชื่อว่า Valletta เป็นเมืองหลวงที่ติดทะเล มีท่าเรือใหญ่และน้อยมากมายโดยปกติแล้วจะมีเรือโดยสารลำใหญ่ และ เรือยอร์ทลำเล็ก ประกอบกับเรือท้องถิ่นจอดเรียงรายตามชายฝั่งให้เป็นที่น่าชื่นชม
Malta มอลตา
วิวจากกำแพงเมือง Valletta
จากนั้นก็แวะไปกินอาหารท้องถิ่นจากร้านอาหารใกล้ๆ ที่ราคาจะไม่แพงเลย (อาหารตามรูปด้านล่างเป็นหมูพันผักโขมและแฮม เรียกว่าว่า BRAGIOLI ปรุงสไตล์ท้องถิ่น ราคาเพียงแค่จานละ 5 Euros เท่านั้น)
อาหารเมนูท้องถิ่น (BRAGIOLI) ราคาเพียง 5 Euros
ของหวานท้องถิ่นของคน Malta ไอศกรีม+เบเกอรี่ ราดน้ำผึ้ง (ชื่อว่า IMQARET)
หลังจากอิ่มแปร้กับอาหารเที่ยงแล้วก็ไปเดินชมเมือง แต่เสียดายที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ร้านรวงต่างๆก็ปิดกันตามระเบียบ เราเลยได้โอกาสเดินเล่นในเมืองชิวๆในบรรยากาศ (ร้อนๆ) ที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านมากนักในบ่ายวันอาทิตย์อย่างนี้
บรรยากาศเมือง Valletta ในบ่ายวันอาทิตย์
จากนั้นก็นั่งรถเมล์ต่อไปยังเมืองข้างๆใกล้ๆที่เห็นอยู่ลิบๆจากชายฝั่ง
เรือยอร์ทจอดเรียงรายเต็มชายฝั่งเมือง
ที่นี่ยังมีเรือคล้ายๆ กับ เรือกอนโดลา ของเวนิสด้วย แต่ว่าค่าบริการนั่งถูกกว่ามากและแน่นอนว่าไม่หรูหราเท่ากับที่เวนิส อีกทั้งยังใช้เครื่องยนต์แทนคนพายด้วย
หนึ่งในเรือท้องถิ่นของ มอลตา คล้ายๆ Gondola ของ Venice แต่มีเครื่องยนต์ขับ
เช้าวันที่สาม ตื่นมาพร้อมความสดชื่นพร้อมที่จะไปเดิน trekking จากเมืองที่พักอยู่ไปยัง Megalithic Temples of Malta ซึ่งอยู่อีกเมืองหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นเขตมรดกโลกด้วย (UNESCO World Heritage Sites) โดยขึ้นชื่อว่าเป็น สถาปัตยกรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก (The oldest free-standing structure in the world)
มองย้อนหลังไปดูบรรยากาศทางเดินจากเมืองไปยังวัด
ความใสของน้ำทะเลที่นี่ จนเพื่อนๆอดใจไม่ไหวต้องโดดลงไปเล่นเลยทีเดียว
ในที่สุดก็เดินมาถึงจุดหมายปลายทางคือวัดโบราณซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นอาคารที่เก่าแก่ที่สุดในโลก โดยมีอายุประมาณ 5000 ปีแล้วโดยได้รับการดูแลรักษาอย่างดีโดยใช้เงินทุนจาก EU
The oldest free-standing structure in the world
ด้านในก็คล้ายๆ กับกองซากปรักหักพัง ที่มีเจ้าหน้าที่ให้การดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างดี แต่ก็ถือว่าอนุญาตให้เราเข้าไปชมได้เยอะและใกล้ชิดพอสมควร จริงๆแล้วจะมีอยู่สองอาคารหลักๆใกล้ๆกัน เสียเงินทีเดียว (ประมาน 7-8 Euros ได้) เข้าได้สองที่พร้อมแถมเข้าชมพิพิธภัณฑ์ตอนเริ่มต้นได้ฟรีอีกด้วย
จากนั้นตอนบ่ายมาดูความสวยงามของน้ำทะเลและชายฝั่งที่ Blue Glotto ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆชายฝั่ง ที่เราสามารถนั่งเรือออกไปชมความใสและสวยงามของน้ำทะเลพร้อมทั้งถำ้ต่างๆในทะเลอย่างใกล้ชิด ราคาตั๋วเขียนไว้ชัดเจนไม่แพงมาก (ประมาน 8 Euros) แต่ก็คุ้มค่ากับประสบการนั่งเรือท้องถิ่นออกไปชมถ้ำ และทัศนียภาพกลางทะเล
Welcome to Blue Grotto
โชเฟอร์เรือผลัดเวรกันพานักท่องเที่ยวออกไปชมความสวยงาม
ออกทะเลชมความสวยงามของสถาปัตยกรรมธรรมชาติ
หลังจากกลับมาก็ทนความสวยงาม ความใสล่อตาล่อใจของน้ำทะเลที่นี่ไม่ไหว เลยต้องกระโจนลงน้ำเล่นกันให้หายร้อน
น้ำทะเลใส สวยขนาดนี้ใครจะอดใจไหว
หลังจากนั้นมาที่เมือง Marsaxlokk ซึ่งขึ้นชื่อด้านการเป็นหมู่บ้านชาวประมง ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีชาวประมง พร้อมเรือท้องถิ่นอยู่มากมาย และมาถึงก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ได้เจอทั้งชาวประมงกำลังถังแห ชาวบ้านนั่งชิวๆกัน รวมทั้งเรือประมงท้องถิ่นมากมาย
ชาวประมงท้องถิ่นกำลังถังซ่อมแหจับปลา
เรืองประมงพื้นบ้านมากมาย
ชาวบ้านนั่งชิวกันหน้าบ้าน ใจดีขอถ่ายรูปได้ :)
ปิดท้ายทริปนี้ด้วยการไปกินอาหารทะเล (มากินของสดๆถึงถิ่น) กับร้านอาหารหรูริมหาด (แต่ว่าคุยกันถูกคอเลยได้ลดราคาไปเยอะ) ราคาที่นี่ก็ถือว่าถูกถ้าคิดว่ากินอาหารทะเลสดๆในย่านยุโรป ทั้งโต๊ะ เสียคนละ 20 Euros รวมทุกอย่าง มีปลาห้าตัวใหญ่ กุ้ง หอย ออเดอร์ฟ น้ำ และบริการที่ประทับใจ
อาหารหรูปิดท้ายทริป ถ่ายพร้อมเจ้าของร้าน(ขวาสุด)ที่ไปเมืองไทยมาแล้วหลายครั้ง
สรุปท้ายทริปนี้ ต้องถือว่าการไป Malta ครั้งนี้เป็นทริปที่ประทับใจที่สุดในการเที่ยวหลายๆที่เลยทีเดียว ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ไปยังด้านเหนือของประเทศที่ขึ้นชื่อด้านความสวยงามของธรรมชาติมากกว่านี้
Malta มีส่วนผสมที่ลงตัวทั้งความสวยงามตามธรรมชาติของน้ำทะเล และประวัติศาสตร์อันยาวนาน ประกอบกับค่าครองชีพที่ถูกแสนถูก และเป็นที่แน่นอนว่าที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่บางส่วนของความสวยงามที่น่าหลงไหลของประเทศหมู่เกาะเล็กๆ ใจกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเท่านั้น ยังมีอีกหลายส่วนที่ยังไม่ได้ไปสัมผัสพบเห็น ซึ่งเพียงแค่นี้ก็ทำให้เราหลงไหลเสน่ห์ของประเทศนี้ไปเสียมิได้ และหวังว่าซักวันหนึ่งจะได้มีโอกาสกลับมาเยือนธรรมชาติอันสวยสดงดงามที่เหลือของประเทศนี้อีกให้ได้ ส่วนตัวนั้นการมา Malta นี้ คุ้มค่ามาก และแนะนำให้ทุกๆคนมาให้ได้ครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น