วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ขับรถเที่ยวภาคกลาง เส้นทางกรุงเทพฯ ราชบุรี เพชรบุรี


เมื่อต้นเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ณ ลานจอดรถประไพสวัสดิ์ ด้านข้างอาคารการท่องเที่ยวแห่งแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานใหญ่ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ นายสมชาย ชมภูน้อย ผู้อำนวยการ ททท.ภูมิภาคภาคกลาง ประธานกล่าวเปิดงานและปล่อยคาราวานแรลลี่ โครงการขับรถเที่ยวกาคกลาง แรลลี่รถยนต์ "มหาสงกรานต์ภาคกลาง ตอน มนต์เสน่ห์สีสัน แดนสวรรค์ตะวันตก"
มุ่งหน้าสู่ จ.ราชบุรีแวะชิมไอศครีม สหกรณ์โคนมหนองโพ จ.ราชบุรี แล้วออกเดินทางต่อไปยัง วัดขนอนหนังใหญ่ หรือ หนังใหญ่วัดขนอน เข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงนิทรรศการหนังใหญ่ ซึ่งเป็นสถานที่ๆ รวบรวมหนังใหญ่ไว้มากที่สุดในโลก พร้อมสนุกกับการชมการแสดงโขนหนังใหญ่ เรื่อง "รามเกียรติ์"
หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าสู่ สุนทรีแลนด์ แดนตุ๊กตา ให้ท่านเพลิดเพลินกับการถ่ายภาพกับเหล่าตุ๊กตา ในบรรยากาศจำลองจากทั่วโลก ทดลองทำตุ๊กตาด้วยตนเอง และ นำกลับไปเป็นที่ระลึกอวดเพื่อนๆ ให้อิจฉา 
ต่อด้วยเดินทางสู่จ.เพชรบุรี เยี่ยมชม วัดพระพุทธไสยาสน์ (วัดพระนอน) สักการะพระพุทธไสยาสน์เพื่อความเป็นสิริมงคล ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่งดงามเป็นอย่างมาก ก่อนที่จะเข้าสู่ที่พัก ณ Unico Sandara Hotel โรงแรมหรูติดชายหาดชะอำ ทำให้ลงมาเล่นน้ำเดินชายหาดและได้พักผ่อนตามอัธยาศัยได้ฟิลลิ่งสุดๆ
ช่วงค่ำหลังรับประทานอาหารเย็นและรับของรางวัลติดไม้ติดมือกันกลับบ้าน ก็เดินทางไปร่วมงาน พระนครคีรี-เมืองเพชร ครั้งที่ 27 ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีเมืองเพชร ร่วมพิธีเวียนเทียนรอบพระธาตุจอมเพชร ณ เขาวัง และร่วมชมการแสดงพลุ นานาชาติ บนพระนครคีรีสวยงามตราตรึงใจเป็นอย่างมากแล้วกลับมาหลับพักผ่อนนอนฝันดี ชาร์ตพลังเตรียมเที่ยวกลับภาคกลางในครั้งถัดไปกันได้เลยครับ
โครงการขับรถเที่ยวภาคกลาง ปี 2556 ครั้งถัดไป คือ แรลลี่รถยนต์ "เที่ยวหน้าฝนค้นหาความสุข" เส้นทางกรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา-จันทบุรี วันที่ 5-6 พฤษภาคม 2556 สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โทร.1672 หรือ www.เที่ยวภาคกลาง.com, www.เที่ยวไหนดี.com โทร.0 2724 7062, สายด่วน 08 1635 3755
ขอขอบคุณ : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ภูมิภาคภาคกลาง

เรื่องและภาพ : ทศพร สุภาพ

มหาสงกรานต์สังขละ พลังศรัทธาชาวมอญ


"มะเงยระอาว" ในวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ขึ้นปีใหม่ไทย "นายรอบรู้" มีโอกาสได้เข้าร่วมงานและเที่ยวชมประเพณีสงกรานต์มอญที่ ชุมชนวัดวังก์วิเวการาม หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า "ชุนชนวัดวังก์" อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ตามคำเชิญชวนของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เราจึงขอเปิดเรื่องด้วยคำทักทายภาษามอญกันเสียหน่อย
ชาวมอญหลั่งไหลเข้ามาร่วมพิธีสรงน้ำพระที่เจดีย์พุทธคยา
การเดินทางครั้งนี้ ถือเป็นความทรงจำที่ดีและงดงามมากทีเดียว เพราะบรรยากาศของงานในแต่ละวันเต็มไปด้วยรอยยิ้มน่ารักที่แสดงถึงมิตรภาพและน้ำใสใจจริง บวกกับภาพกิจกรรมสุดแสนอลังการที่แสดงให้เห็นความสามัคคี รวมเป็นหนึ่งเดียวของชาวมอญ และนายรอบรู้ได้เก็บตกภาพบรรยากาศพร้อมเกร็ดความรู้เกี่ยวกับสงกรานต์มอญมาให้ติดตามกัน
ประเพณีมหาสงกรานต์ของคนมอญ ชุมชนวัดวังก์ คือ การทำบุญวันขึ้นปีใหม่ไทย และถือเป็นประเพณีการทำบุญครั้งใหญ่ประจำปี แต่การกำหนดวันของการจัดงานจะเปลี่ยนแปลงไปตามปฏิทินสงกรานต์ ซึ่งโดยรวมจะมีระยะเวลาในการจัดงานทั้งหมด 5 วัน และในแต่ละวันก็จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไป ได้แก่ วันสงกรานต์ลง วันคาบปี วันขึ้นปีใหม่ วันสรงน้ำพระ และวันกรวดน้ำ โดยกิจกรรมส่วนใหญ่ของ 3 วันแรก คือ การถือศีล นอนวัด เพื่อทำจิตใจให้ผ่องใส ต้อนรับปีใหม่ที่กำลังมาถึง ซึ่งผู้ปฎิบัติส่วนมากจะเป็นผู้ใหญ่
ในช่วงเวลาการถือศีลตั้งแต่วันสงกรานลงจนถึงวันขึ้นปีใหม่ ผู้เฒ่าผู้แก่จะมาจำศีลที่วัด ลูกหลานจะมารดน้ำและอาบน้ำให้
ส่วนลูกหลานจะนำอาหารสำรับมาให้ผู้ใหญ่ที่วัด และช่วงเย็นจะนำน้ำมาอาบ หรือรดน้ำให้เพื่อทำความเคารพและแสดงความกตัญญูกตเวที อีกทั้งบริเวณลานด้านหน้าเจดีย์พุทธคยา ยังมีกิจกรรมก่อเจดีย์ทรายขนาดใหญ่ โดยจะมีชาวมอญในชุมชนเวียนกันมาทำบุญและช่วยกันก่อพระเจดีย์ทรายกันอย่างไม่ขาดสาย และในส่วนของ 2 วันที่เหลือ คือ วันสรงน้ำพระและวันกรวดน้ำ ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษของประเพณีสงกรานต์มอญเลยก็ว่าได้ เพราะลักษณะของกิจกรรมจะมีความแตกต่างไปจากประเพณีของไทยอย่างสิ้นเชิง
ให้พระเดินเหยียบหลัง เสริมมงคลชีวิต
ในวันที่สี่ หรือที่เรียกว่า "วันสรงน้ำพระ" คือ วันที่ชาวมอญจะทำพิธีสรงน้ำพระผ่านรางกระบอกไม้ ซึ่งก่อนจะสรงน้ำพระ จะมีการทำพิธีพิสูจน์ความเชื่อและความศรัทธาให้พระเดินเหยียบหลังพุทธศาสนิกชนก่อน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ชาวมอญเชื่อและศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง และมีมานานกว่า 30 ปีแล้ว ส่วนพุทธศาสนิกชนที่จะนอนให้พระสงฆ์เหยียบได้นั้นต้องเป็นเพศชายเท่านั้น
ชาวบ้านนอนกลางแดดให้พระเหยียบหลังตามความเชื่อความศรัทธาว่าจะช่วยเสริมมงคลให้ชีวิต
ความเชื่อและความศรัทธาให้พระเหยียบหลังของชาวมอญ ชุมชนวังก์ มีมาตั้งแต่ครั้นสมัย "พระราชอุดมมงคล" หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "หลวงพ่ออุตตมะ" อดีตเจ้าอาวาสวัดวังก์ที่โด่งดังและเป็นที่นับถือของพุทธศาสนิกชน ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งก่อนสรงน้ำพระ จะมีพุทธศาสนิกชนจำนวนมากมารอให้ท่านเดินเหยียบหลัง เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ปัจจุบันความเชื่อและความศรัทธาเช่นนี้ยังคงมีให้เห็นอยู่ แต่พระภิกษุที่จะขึ้นไปเหยียบได้นั้น จะต้องเป็นพระภิกษุชั้นผู้ใหญ่เท่านั้นที่จะสามารถทำได้
ขั้นตอนกิจกรรมพระเดินเหยียบหลังพุทธศาสนิกชน จะเริ่มต้นจากพระภิกษุเดินเรียงกันเป็นแถวลงมาจากบันไดเจดีย์พุทธคยา จากนั้นจะเดินเหยียบขึ้นไปบนหลังของพุทธศาสนิกชนที่นอนเรียงราย ก่อนจะไปนั่งที่เก้าอี้ รอการสรงน้ำพระ ถึงแม้ระยะทางจากบันไดไปถึงเก้าอี้นั่ง จะไม่ถึง 10 ม. แต่พลังความเชื่อและความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนไม่ได้น้อยเหมือนดั่งระยะทางเอาเสียเลย ทั้งผู้ใหญ่และวัยรุ่นต่างนอนคว่ำเบียดเสียดกันแน่น เพื่อรอเวลาให้พระภิกษุเดินขึ้นไปเหยียบบนหลังตน และในขณะที่พระภิกษุเดินขึ้นไปเหยียบ ใบหน้าของชายที่นอนเรียงรายกัน ล้วนแต่แสดงให้เห็นถึงความภาคภูมิใจและความศรัทธา ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรอยยิ้มและท่าทางที่แสดงถึงความดีใจรวมอยู่ด้วย
การสรงน้ำพระผ่านรางกระบอกไม้ไผ่
หลังจากกิจกรรมพิสูจน์ความเชื่อและความศรัทธาของชาวมอญที่ให้พระเดินเหยียบหลัง จะเป็นการเข้าสู่กิจกรรมการสรงน้ำพระของชาวมอญวัดวังก์ ซึ่งเป็นภาพที่แตกต่างไปจากการสรงน้ำพระทั่วไป
ลักษณะของการสรงน้ำพระชาวมอญ จะสรงผ่านรางกระบอกไม้ไผ่ เนื่องมาจากความเคร่งครัดของพระพุทธศาสนาที่ผู้หญิงไม่ควรจะถวายของแด่พระภิกษุโดยตรง จึงทำให้จำเป็นต้องมีฉากกั้นและใช้รางกระบอกไม้ไผ่เข้ามากั้นกลาง ซึ่งรางกระบอกไม้ไผ่ที่ใช้จะถูกนำมาต่อเรียงรายจนมีความยาวกว่า 50 เมตร ที่สำคัญการใช้รางกระบอกไม้ไผ่ยังช่วยให้พุทธศาสนิกชนได้สรงน้ำพระกันอย่างทั่วถึง ถึงแม้จะมีคนมหาศาลแต่ก็จะได้สรงน้ำกันครบทุกคนกันโดยไม่ต้องเบียดเสียดยัดเยียดกัน
ถึงแม้อากาศจะร้อน แต่ด้วยพลังศรัทธาทำให้ชาวมอญยังคงมาร่วมพิธีอย่างคับคั่ง
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมถึงไม่ใช้ท่อพลาสติกเป็นรางน้ำแทนกระบอกไม้ไผ่ พระมหาสุชาติ สิริปญโญ เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม ได้อธิบายถึงนัยที่แฝงอยู่ในการเลือกใช้กระบอกไม้ไผ่แทนท่อพลาสติกที่สะดวกสบายและสามารถเก็บไว้ใช้ได้นาน เพราะการใช้กระบอกไม้ไผ่จะต้องทำขึ้นใหม่ทุกปี ชาวบ้านต้องมาช่วยกันทำ จะช่วยส่งเสริมความสามัคคีกลมเกลียวและความเสียสละไปด้วย
การประดิษฐ์อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับสรงน้ำพระ จะเริ่มด้วยชาวมอญในชุมชนออกไปตัดต้นไผ่เพื่อที่จะนำลำต้น หรือที่เราเรียกกันว่า กระบอกไม้ไผ่ มาทำเป็นรางน้ำเพื่อสรงน้ำพระ โดยกระบอกไม้ไผ่ที่นำมาใช้นั้นจะต้องมีขนาดหนาและใหญ่ จากนั้นชาวบ้านจะนำกระบอกไม้ไผ่มาผ่าครึ่ง และนำมาผูกต่อเรียงรายเป็นแถวๆ นับสิบราง ซึ่งจะมีรางหลักอยู่จำนวน 3 ราง ส่วนรางที่เหลือจะมุ่งตรงมาบรรจบที่รางหลัก เพื่อให้น้ำไหลผ่านฉากดอกไม้ มาสู่พระภิกษุที่นั่งรอการสรงน้ำอยู่หลังฉาก
อีกทั้งในขณะที่สรงน้ำพระ จะมีเจ้าหน้าที่ถือธงสัญญาณสีเขียวและสีแดง หากถือธงเขียว นั่นหมายความว่าให้ชาวบ้านเทน้ำอบ หรือน้ำหอมลงราง น้ำก็จะไหลจากต้นรางมาสู่ปลายราง แต่เมื่อใดก็ตามที่ยกธงแดง นั่นหมายความว่า พระภิกษุที่นั่งอยู่หลังฉากได้สรงน้ำเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านทุกคนจะต้องหยุดเทน้ำใส่รางกระบอกไม้ไผ่
ขบวนผ้าป่าครึกครื้น คนมอญคึกคัก
เช้าวันสุดท้าย หรือ"วันกรวดน้ำ" เป็นวันที่ชาวมอญจะนำผลบุญที่ได้จากการทำบุญมาตลอด 4 วัน แผ่กุศลไปให้ผู้อื่น ซึ่งในตอนเช้ากิจกรรมของพวกเขา คือ การแห่ขบวนผ้าป่า โดยชาวบ้านจะมารวมตัวและตั้งขบวนกันที่ตลาดกลางหมู่บ้าน และจะเดินเท้านำจตุปัจจัยไทยทานมาถวายวัด
บรรยากาศพิธีถวายกองผ้าป่าอันศักดิ์สิทธิ์บนศาลาที่วัดวังก์วิเวการามในวันที่ห้า หลังจากนั้นจะมีการยกฉัตรสู่ยอดเจดีย์ทรายและกรวดน้ำแผ่บุญกุศล
ชาวบ้านเต้นกันอย่างสนุกสนาน ในขบวนแห่ผ้าป่า
ขบวนแห่ผ้าป่าสุดอลังการยาวกว่า 500 ม. จากตลาดตรงเข้าสู่วัด
กองผ้าป่าของชาวมอญที่จัดวางไว้บนศาลา ต่างประดับประดาอย่างสวยงาม
บรรยากาศพิธีถวายกองผ้าป่าอันศักดิ์สิทธิ์บนศาลาที่วัดวังก์วิเวการามในวันที่ห้า หลังจากนั้นจะมีการยกฉัตรสู่ยอดเจดีย์ทรายและกรวดน้ำแผ่บุญกุศล
บรรยากาศการแห่ขบวนผ้าป่า จะมีทั้งชายหญิงตั้งแต่ผู้ใหญ่จนถึงวัยรุ่น บ้างนำเครื่องสังฆทานเทินไว้บนศีรษะ บ้างเต้นตามเสียงเพลงของวงดนตรีในขบวนแห่อย่างสนุกสนาน ส่วนที่สะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง คือ กองผ้าป่าที่ประดับประดาไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้งานภายในวัด เช่น ช้อน ทัพพี และสมุด อีกทั้งยังมีการประดับด้วยธนบัตรจำนวนมาก จึงทำให้ขบวนผ้าป่าของชาวมอญดูแล้วแปลกตามาก
ก่อพระเจดีย์ทราย
หลังจากที่ชาวมอญได้นำกองผ้าป่าไปถวายที่วัดเป็นที่เรียบร้อย จะแห่ขบวนฉัตรจากวัดวังก์วิเวการามเดินเท้ามายังลานข้างหน้าเจดีย์พุทธคยา เพื่อยกฉัตรขึ้นไปสู่ยอดเจดีย์ทรายที่พวกเขาช่วยกันก่อเอาไว้ ซึ่งการก่อพระเจดีย์ทรายในประเพณีสงกรานต์ มีความเชื่อกันว่าเป็นอุบายให้คนขนทรายเข้าวัด เพราะทุกปีเมื่อคนเข้ามาทำกิจกรรมในวัดก็จะเหยียบย่ำทรายติดเท้าไป ถึงสงกรานต์จึงต้องนำทรายมาคืน ซึ่งนับเป็นผลประโยชน์ทางอ้อมอย่างหนึ่ง เพราะ คนจะได้บำเพ็ญประโยชน์ และวัดจะมีทรายไว้ใช้ในการบูรณะสิ่งก่อสร้าง
เจดีย์ทรายขนาดใหญ่ที่เกิดจากพลังความสามัคคีของชาวมอญ เป็นการขนทรายมาให้วัดได้ใช้ประโยชน์
ถัดจากการยกฉัตรสู่ยอดเจดีย์ทราย ชาวมอญจะเดินกลับมาที่ศาลาวัดอีกครั้งหนึ่งเพื่อทำบุญกรวดน้ำ อุทิศแผ่บุญกุศลไปให้ผู้อื่น ซึ่งจะเป็นอันจบสิ้นประเพณีสงกรานต์ของชาวมอญวัดวังก์อย่างแท้จริง นับเป็นประเพณีที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ น่าสนใจและตื่นตา คงจะดีไม่น้อยถ้าใครจะหาโอกาสมาเยือนสักครั้ง
  
ชาวมอญแวะเวียนกันมาสักการะเจดีย์ทราย(ซ้าย). ชาวมอญจะนำทรายเทินไว้บนศีรษะเพื่อนำมาร่วมก่อพระเจดีย์ทราย(ขวา)
นอกจากงานประเพณีสงกรานต์ที่น่าสนใจและตื่นตา สังขละบุรียังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจให้เราเที่ยวชมอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ล่องเรือชมเมืองใต้บาดาล วัดเก่าของหลวงพ่ออุตมะที่จมอยู่ใต้บาดาล ด่านเจดีย์สามองค์ซึ่งเป็นสุดเขตชายแดนสยามของภาคตะวันตก วิถียามเช้าบนสะพานมอญ และภาพการใส่บาตรยามเช้าในหมู่บ้านมอญ หากใครสนใจแวะเวียนมาเที่ยวกันได้ที่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี
เรื่องและภาพ : วรัตถา คงศิลธรรม

อ.สังคม จ.หนองคาย ร้อนนี้ไม่ไปไม่ได้แล้ว


หน้าร้อนนี้บางคนคงเลือกหลบร้อนอยู่ที่บ้าน หลายคนคงมีโปรแกรมไปเที่ยวทะเลคลายร้อน ผจญกับจำนวนนักท่องเที่ยวมหาศาลจนทำให้ทะเลกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ วันนี้ "นายรอบรู้" ขอพาเที่ยวหน้าร้อนในสถานที่แปลกใหม่อันว้าว !!!น่าตื่นตาตื่นใจ ในอ.สังคม จ.หนองคาย ที่ถูกคัดสรรมาให้คุณได้เที่ยวตามรอยอย่างจัดหนักจัดเต็ม ใครรักธรรมชาติ หลงใหลการผจญภัย ไม่ควรพลาด ตามเรามารู้จักอำเภอน่ารักแต่เปี่ยมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจชื่อว่า อ.สังคม ด้วยกันนะ!
อ.สังคม เป็นอำเภอเล็กๆของจ .หนองคาย มีพื้นที่ประมาณ 449 ตร.กม. เป็นจังหวัดที่มีภูมิทัศน์งดงามและมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ติดลำน้ำโขง เหมาะสำหรับคนที่ชอบขับรถเที่ยวชมทิวทัศน์เพราะจะได้เห็นแม่น้ำโขงเป็นแนวยาวเลียบไปกับถนน ยิ่งมาในช่วงหน้าร้อนน้ำในลำน้ำโขงก็จะแห้งขอด เห็นเกาะแก่งและหาดทรายในลำน้ำสวยงามจับใจ นอกจากชมทิวทัศน์แม่น้ำโขง อ.สังคมยังมีที่เที่ยวทางธรรมชาติอีกมากมายรอให้คุณไปสัมผัส อย่ารอช้า ตาม "นายรอบรู้" มาได้เลย
เที่ยวเชิงธรณีวิทยา ชมทิวทัศน์ 360 องศาที่... "ภูผาดัก"
ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดภูผาดัก ภายในเนื้อที่ราว 15 ไร่ ตัววัดก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2480 ด้วยเหตุที่มีหน้าผาล้อมรอบชาวบ้านจึงเรียกกันสั้นๆว่า "วัดผาดัก" นอกจากวัดซึ่งเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของพระภิกษุอาวุโสหลายท่าน เช่น หลวงปู่ผาง หลวงปู่เพชร หลวงปู่มั่น ฯลฯ
บริเวณวัดยังมีลานซึ่งมีหินเก่าแก่อายุกว่า 210 ล้านปีตั้งอยู่กระจัดกระจายในพื้นที่ เรียกกันว่า "ลานหินปุ่ม" จากลานหินปุ่มนี้ยังมีหน้าผาซึ่งมองเห็นทิวทัศน์ข้างล่างได้ 360 องศา ทิศเหนือมองเห็นเมืองหนองคาย ทิศตะวันตกเห็นภูนกกระบา อ.นายูง ทิศใต้มองเห็นจังหวัดอุดรธานี ส่วนทิศตะวันออกก็มองเห็นเมืองเวียงจัน ประเทศลาว สิ่งที่น่ามหัศจรรย์อีกอย่างคือบริเวณลานนี้มีก้อนหินขนาดย่อมก้อนหนึ่ง บริเวณหน้าก้อนกินมีรอยเท้าสองข้างฝังอยู่ในลานหิน สันนิษฐานกันว่าน่าจะเป็นรอยเท้าของหลวงปู่ผาง เมื่อครั้งที่ท่านได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดภูผาดักแห่งนี้
เยือนถิ่นพญานาค ที่"ถ้ำดินเพียง"
วัดถ้ำดินเพียง หรือ วัดถ้ำศรีมงคล มีสิ่งที่น่าสนใจภายในวัดคือ "ถ้ำดินเพียง" ถ้ำแห่งนี้บอกเล่าสืบต่อกันมาว่าเป็นถ้ำที่พระธุดงค์จากประเทศลาวได้เคยเดินทางข้ามมาได้โดยไม่ได้ผ่านมาทางเรือ จึงเชื่อกันว่ามีแต่ผู้ที่มีบุญบารมีเท่านั้นจึงจะเห็นเส้นทางภายในถ้ำ ชาวบ้านเชื่อกันว่าถ้ำเพียงดินแห่งนี้เป็นเมืองบาดาลของพญานาค ก่อนจะเข้าถ้ำจึงต้องมีการจุดธูปขอขมาพญานาคก่อนรวมทั้งทำตามกฎหลายอย่าง เช่น ห้ามใส่รองเท้าเข้าไป ห้ามปัสสาวะภายในถ้ำ ห้ามถุยน้ำลายภายในถ้ำ เป็นต้น ถ้ำดินเพียงเป็นถ้ำที่มีความชื้นสูงและมีน้ำไหลตลอดทั้งปี มีแท่งหินวางเรียงรายอยู่ภายใน บางก้อนมีลักษณะคล้ายโลงศพซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นโลงศพของพญานาค
ถ้ำแห่งนี้มีฉายาว่า "ศาลาพันห้อง" ห้องหลักๆภายในถ้ำดินเพียงที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเดินชมมีอยู่ด้วยกัน 8 ห้อง ห้องแรกเป็นห้องโถงกลาง ทางเข้าห้องโถงจะค่อนข้างแคบแต่ภายในห้องโถงเย็นสบายและมีไฟสว่าง ก่อนจะเข้าสู่ห้องที่ 2 คือห้องหีบศพ บรรจุศพของปู่อินทร์นาคราช พญานาคราชที่ชาวบ้านนับถือ ห้องที่ 3 เป็นห้องเจดีย์ ห้องหีบศพ และแท่นบูชา ห้องที่ 4 เป็นห้องธิดานาคราช เป็นธิดาพญานาคที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าได้มาพบรักกับเจ้าชายแห่งเมืองมนุษย์
ห้องที่ 5 เป็นห้องช้างสามเศียร เป็นอีกจุดที่แคบที่สุดภายในเส้นทางเดินถ้ำ ต้องใช้ความสามารถในการลอดช่องแคบๆเข้าไป ห้องที่ 6 เป็นห้องพระคัมภีร์ แล้วจึงจะพบห้องที่ 6 ห้องโถงทางออก และหากเดินเข้าไปอีกทางหนึ่งใกล้ๆทางออกจะพบห้องที่ 8 ห้องปฏิบัติธรรม ว่ากันว่าภายในถ้ำแห่งนี้มีห้องเป็นร้อยๆห้อง ส่วนที่เป็นเส้นทางเดินที่ว่ามานี้เป็นพื้นที่ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของทางเดินทั้งหมดภายในถ้ำ ถ้ำนี้จึงถือเป็นถ้ำมหัศจรรย์ที่มีทางออกไปยังจุดต่างๆอีกมากมายที่ยังไม่มีใครเคยได้สำรวจ
สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจมาเที่ยวถ้ำแห่งนี้ควรติดต่อมัคคุเทศก์ล่วงหน้า (ติดต่อได้ที่วัด) เพราะทางเข้าถ้ำค่อนข้างแคบและมืด นอกจากนั้นยังมีทางออกเล็กทางออกน้อยอีกมากมายซึ่งหากไม่มีคนนำทางอาจจะหลงทางได้ บางเส้นทางนำไปออกถึงฝั่งลาว จึงต้องใช้ความระมัดระวังพอสมควร
สัมผัสความงดงามของธรรมชาติที่ "วัดภูนกกระบา"
ภูนกกระบาเป็นแนวเทือกเขาที่ทอดยาวจาก จ.อุดรธานีมาจนถึง อ.สังคม จ.หนองคาย ที่ได้ชื่อนกกระบาเพราะเป็นภูที่มีนกกระบา หรือที่ภาคกลางเรียกว่านกโพระดก อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก วัดภูนกกระบาจัดตั้งเป็นวัดเมื่อปี พ.ศ. 2479 โดยมีพระครูสีลขันธสังวร เป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัด และมีพระครูจันทร ปัญญาภรณ์ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "หลวงพ่อจันทร" เป็นเจ้าอาวาส ณ ปัจจุบัน
สิ่งที่น่าสนใจของวัดนี้คือเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่สวยงาม มองเห็น จ.หนองคายได้อย่างทั่วถึง นอกจากนั้นยังมีหอสูงที่ให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นไปขมความสวยงามของจังหวัดได้ 360 องศา ภูนกกระบามีลมพัดแรงเย็นสบายตลอดทั้งปี ในช่วงเช้าในฤดูหนาวที่ภูแห่งนี้ยังเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงามมากอีกด้วย
ชมทิวทัศน์พานอรามาไทย-ลาวที่ "วัดผาตากเสื้อ"
วัดผาตากเสื้อเป็นวัดเก่าแก่ ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2477 เป็นวัดที่หลวงปู่เทศน์ เทศน์รังสีได้มาปฏิบัติธรรมอยู่ระยะหนึ่ง หลังจากนั้นก็ได้มีพระสายวิปัสสนากรรมฐานมาปฏิบัติธรรมยังวัดแห่งนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โบสถ์ของวัดผาตากเสื้อมีความงดงามตามแบบจตุรมุข มีทางขึ้นลงโบสถ์ 3 ทาง ภายในโบสถ์มีภาพจิตรกรรมตามเพดาน บอกเล่าเรื่องราวในพุทธประวัติที่สวยงาม ส่วนภายนอกวัดยังมีศาลาการเปรียญและหอระฆังอันสวยงาม
นอกจากเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมที่มีชื่อเสียง วัดผาตากเสื้อยังเป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว เนื่องจากเป็นจุดที่มองเห็นทิวทัศน์แบบพานอรามาของทั้งฝั่งไทยและฝั่งลาวได้อย่างชัดเจน ผู้มาเยือนอ.สังคมมักนิยมมาถ่ายภาพบริเวณนี้ ภายในวัดยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้นักนิยมไพรได้เข้าไปสัมผัสความอุดมสมบูรณ์ของป่าและรู้จักนกป่าหายากนานาชนิดอีกด้วย ถือเป็นสถานที่ที่ได้ครบถ้วนทั้งความสงบทางใจและความสุขจากการได้ใกล้ชิดธรรมชาติ
"น้ำตกท่าลี่" เที่ยวได้ตลอดปีไม่ง้อฝน
น้ำตกท่าลี่ อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวใน ต.บ้านม่วง อ.สังคม ในช่วงฤดูฝนซึ่งเป็นหน้าน้ำน้ำจะขึ้นสูงเหมาะแก่การมาเล่นน้ำเป็นอย่างมาก ส่วนในฤดูร้อนน้ำตกจะแปรสภาพเป็นลำธาร มีน้ำพอประมาณ เดินเล่นน้ำพอคลายร้อนได้ อีกทั้งมีความร่มรื่น น้ำตกท่าลี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ใน อ.สังคม ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์และความสวยงามเอาไว้ได้มาก หากต้องการท่องเที่ยวในสถานที่แปลกใหม่น่าประทับใจลองมาเที่ยวน้ำตกแห่งนี้ได้ตลอดทั้งปี
สัมผัสประสบการณ์ใหม่ ชวนกันไปนั่งอีแต๋นขึ้น "ภูโล้น"
ภูโล้นเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่สวยงามมากอีกจุดหนึ่ง จากบนภูโล้นมองเห็นลำน้ำโขงและเกาะแก่งมากมายด้านล่างได้ชัดเจน นอกจากนั้นยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามมากอีกจุดหนึ่ง การขึ้นถึงยอดภูโล้นนั้นต้องใช้รถโฟร์วิวขึ้นไป หรือหากต้องการสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ ชาวบ้านบ้านม่วงมีบริการขับรถอีแต๋นไปส่งไป-กลับยอดภูในราคาคนละ 50 บาท
นักท่องเที่ยวจะได้ชมบรรยากาศทางขึ้นภูบนรถอีแต๋นลำเล็กพร้อมเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ไม่เคยได้ลิ้มลอง (สอบถามข้อมูลรถอีแต๋นได้ที่ท่านนายก อบต.บ้านม่วง โทร. 08-7219-5500) นอกจากนั้นบริเวณภูโล้นยังถือเป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญ เพราะเป็นภูเขาที่มีร่องรอยของการทำเหมืองทองแดงโบราณประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว สังเกตได้จากการพบเบ้าหลอมโลหะและเศษโลหะมากมาย ทั้งสำริด ทองแดง รวมทั้งดีบุกด้วย
ล่องแก่งลำน้ำโขง เที่ยวชม "พันโขด แสนไคร้"
ใครจะคิดว่าลำน้ำโขงนั้นจะมีเกาะแก่งมากมายจนสามารถ "ล่องแก่ง" ได้ แต่หากได้มาเยือน อ.สังคม ในช่วงฤดูแล้ง ที่น้ำแห้งขอดลดระดับลงต่ำ ก็จะมีโอกาสได้เห็นความมหัศจรรย์ของเกาะแก่งมากมายในลำน้ำ และกระแสน้ำอันเชี่ยวพอที่จะให้ใครต่อใครคิดกิจกรรมชมธรรมชาติอย่างล่องแก่งลำน้ำโขงได้ ร้อนนี้ ชาว อ.สังคมชวนเที่ยวชม "พันโขด แสนไคร้" เกาะแก่งในลำน้ำโขงเขต อ.สังคมที่ปรากฏเป็นรูปลักษณ์สวยงามรออวดโฉมนักท่องเที่ยว ที่ได้ชื่อว่าพันโขด แสนไคร้ ก็เพราะนักท่องเที่ยวจะได้เห็นโขดหินและแก่งหินที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำมากมายมหาศาลเป็นพันๆโขด แต่ละโขดมีต้นไคร้สีเขียวสดขึ้นแซม ประดับประดาอยู่มากมายเปรียบเปรยได้เป็นแสนๆต้น นั่นเอง
หากนักท่องเที่ยวสนใจชมความงามของลำน้ำโขง ชาวบ้านบ้านม่วงมีเรือหางยาวบริการในราคาลำละ 300 บาท ลำหนึ่งขึ้นได้ไม่เกิน 4 คน และใช้เวลาในการล่องเรือ 1 ชั่วโมงครึ่ง นักท่องเที่ยวจะได้ล่องเรือผ่านหาดและเกาะแก่งต่างๆมากมาย อาทิ หาดแสน คกอาน หาดแห่ แก่งพาล ถ้ำแข้ เป็นต้น ผ่านทั้งช่วงที่น้ำนิ่ง ลมพัดเย็นสบาย ได้ชมธรรมชาติสูดอากาศบริสุทธิ์ และช่วงที่น้ำไหลค่อนข้างเชี่ยว พอให้ได้ล่องเรือทวนน้ำอย่างสนุกสนานตื่นเต้น
การล่องเรือจะเริ่มตั้งแต่ช่วงหาดแสน บ้านม่วง ไปจนถึงถ้ำแข้ บ้านห้วยค้อ เป็นอันสิ้นสุด นักท่องเที่ยวสามารถบอกคนเรือได้ว่าต้องการหยุดถ่ายภาพตรงจุดไหนเป็นพิเศษ แต่จุดที่เป็นที่นิยมมากอยู่ที่ "แก่งพาล" ซึ่งเป็นแก่งสูงกลางลำน้ำ อยู่ในเขตบ้านห้วยค้อ เป็นจุดที่ชาวบ้านที่ออกหาปลาจะมานั่งพักผ่อนบริเวณแก่งนี้ บนแก่งเมื่อปีนขึ้นไปจะมองเห็นทิวทัศน์ของลำน้ำโขงได้กว้างไกลและสวยงามยิ่งขึ้น และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงาม
ใครอยากชมความมหัศจรรย์ของลำน้ำโขงในเขต จ.หนองคาย สักครั้งในชีวิตควรจะได้มาล่องแก่งลำน้ำโขงแห่งนี้!
"ภูถ้ำ" เข้าถ้ำไหว้พระ ชมต้นจันทน์ผาที่ใหญ่ที่สุดในโลก
อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวแสนมหัศจรรย์แห่ง อ.สังคม จ.หนองคาย ด้วยการปีนขึ้นไปสัมผัสความสวยงามของทิวทัศน์เมืองหนองคายบนยอดภูสูง ชมความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติที่ยังไม่ถูกทำลายโดยน้ำมือมนุษย์ ภูถ้ำแห่งนี้เพิ่งเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวในปีนี้ ยังมีนักท่องเที่ยวรู้จักไม่มากนักจึงยังคงความเป็นธรรมชาติอยู่ได้มาก
จากจุดเริ่มต้น นักท่องเที่ยวต้องปีนขึ้นไปบนภูสูงราว 400 เมตร ในเส้นทางจะผ่านถ้ำเล็กถ้ำน้อยมากมาย แต่ถ้ำที่เปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีเพียงไม่กี่ถ้ำ เช่น ถ้ำจันทน์ผาใหญ่ ถ้ำพระ ถ้ำปากท่อ และถ้ำแอร์ ถ้ำที่มีชื่อเสียงอย่างมากคือถ้ำพระ เป็นถ้ำที่ว่ากันว่าในอดีตมีพระธุดงค์มาอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน ภายในถ้ำประดิษฐานพระพุทธรูปไว้ให้ผู้คนมาสักการบูชา นอกจากนั้นยังมีถ้ำแอร์ ถ้ำที่ภายในเย็นราวกับอยู่ในห้องแอร์ แต่พื้นที่แคบต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินเข้าไป ระหว่างทางไปถ้ำต่างๆจะผ่านจุดชมทิวทัศน์หลายจุด แต่จุดชมทิวทัศน์ที่สวยงามมากจุดหนึ่งอยู่บริเวณถ้ำจันทน์ผา ไม่ควรพลาดชม
อีกสิ่งมหัศจรรย์บนภูถ้ำแห่งนี้คือต้นจันทน์ผาซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก ความสูงราว 6 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณถ้ำจันทน์ผาซึ่งอยู่ในช่วง 100 เมตรแรกของการปีนขึ้นไป นอกจากต้นที่ใหญ่ที่สุดนี้ยังมีต้นที่ใหญ่รองลงมา เป็นต้นจันทน์ผาคู่ มีความงดงามน่าชม คุ้มค่าสำหรับการปีนป่ายขึ้นมาเที่ยวชมอย่างมาก
หนองคาย ไม่ไปไม่รู้
หลังจากเที่ยวกันอิ่มความสุขกันแล้ว ความคิดที่ว่า อ. สังคมเป็นอำเภอเล็กๆที่ไม่น่าเที่ยวคงผิดถนัด ทว่ากลับมีสถานที่ท่องเที่ยวรอคอยอยู่อีกตั้งหลายแห่งที่"นายรอบรู้" ยังไม่ได้พาไป เช่น "บ่อทองโบราณ" เก่าแก่ของชาวบ้านท่าม่วง "ศูนย์คุ้มครองพันธุ์พืชป่า จ.หนองคาย" ซึ่งมีกระท่างหรือกิ้งก่ายักษ์รวมทั้งปูหิน ปูหายากให้ชม "ภูห้วยอีสัน" ซึ่งเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงามมาก
ก่อนกลับเข้าสู่ จ.หนองคาย "นายรอบรู้" ชวนแวะ "บ้านกองนาง" อ.ท่าบ่อ ชมหมู่บ้านประมงน้ำจืด แหล่งเพาะพันธุ์ปลานิลสายพันธุ์จิตรลดา 3 ซึ่งปรับปรุงมาจากปลานิลพันธุ์ผสมกลุ่มต่างๆถึง 7 สายพันธุ์ จากนั้นแวะเข้าหมู่บ้านชมกระบวนการผลิตเส้นยาสูบของชาวบ้าน ซึ่งเป็นยาสูบพันธุ์เวอร์จิเนีย ชาวบ้านปลูกเองและนำออกขายเพื่อแปรรูปเป็นยาสูบต่อไป
เที่ยวหนองคายจนอิ่ม ก่อนกลับบ้านอย่าลืมแวะเที่ยว "ตลาดท่าเสด็จ" ตลาดแสนคึกคักในตัวเมืองหนองคาย รวมร้านขายของฝากน่าซื้อหาและร้านของกินเด็ดๆอย่างแหนมเนืองหลายร้าน นอกจากนั้นยังเป็นจุดชมทิวทัศน์แม่น้ำโขงที่สวยงามอีกจุดหนึ่งด้วย
เรื่องและภาพ: ปฐวี พรหมเสน

ทังลอง ไม่เด็ดจริงอยู่ไม่ได้นานขนาดนี้-ไม่เชื่อต้องพิสูจน์


ภาพอาหารเวียดนามหลายคนอาจจะนึกถึงแต่แหนมเนือง หรืออาหารที่รสไม่จัดเท่าไหร่ วันนี้ We Recommend พร้อมพาเพื่อนรู้ใจ "ALL-NEW FOCUS รุ่น 1.6 ลิตร" ไปชิมอาหารเวียดนามอีกสไตล์ที่ผสมผสานความจัดจ้านมากขึ้น น่าจะถูกปากถูกใจใครหลายคน แถมการเดินทางมาที่ร้านก็แสนง่าย ขับมาไม่ไกลอยู่ในซอยหลังสวนนี่เองค่ะ
ระหว่างทางผ่อนคลายด้วยเพลงสบาย ๆ ง่าย ๆ ด้วยเทคโนโลยีระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNCTM ที่เพียงแค่พูดชื่อเพลงที่ต้องการ หรือจะเป็นชื่ออัลบั้ม นักร้อง หรือแนวเพลง ระบบก็จะค้นหาและเล่นเพลงให้ทันที หรือหากต้องการคุยงานระหว่างทางก็สามารถสั่งโทรออกด้วยเสียง และยังสั่งให้อ่านข้อความตัวอักษรที่เข้ามาได้ด้วย ช่วยเรื่องความปลอดภัยแถมยังไม่พลาดทุกการติดต่อ ขับไปเพลิน ๆ เผลอแป๊ปเดียวก็ถึงร้านแล้วค่ะ
เมื่อถึงหน้าร้านซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามระหว่างซอยหลังสวน 6 และ 7 ก็ใช้ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ Active Park Assist ที่จะช่วยให้การจอดรถเป็นเรื่องง่าย สะดวก และปลอดภัยในทุกการขับขี่ โดยร้าน ทังลอง เปิดมานานกว่า 25 ปี ซึ่งล่าสุดเพิ่งปรับปรุงร้านใหม่ เพื่อเพิ่มความทันสมัยให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้น ตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นโทนสีดำ ดูแล้วเรียบเก๋ โต๊ะเก้าอี้จัดวางอย่างลงตัว มีโซน Outdoor ทั้งชั้นบนและล่าง สามารถมานั่งดื่มด่ำบรรยากาศสบาย ๆ ยามค่ำคืน จนลืมไปเลยว่านั่งอยู่ริมถนนใจกลางเมืองค่ะ
ด้วยความทันสมัยของตัวร้าน อาหารจึงต้องมีการปรับแต่งให้มีความโมเดิร์นตามไปด้วยในสไตล์เวียดนามฟิวชั่น ที่ผสมผสานอาหารเวียดนามกับอาหารฝรั่งเศสเข้าด้วยกัน พร้อมครีเอทเมนูเด็ดสูตรเฉพาะขึ้นมาเอง ปรับรสให้มีความจัดจ้านมากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังคงเมนูต้นตำรับเวียดนามแท้ ๆ เอาไว้ด้วย อย่าง ข้าวเกรียบปากหม้อ (115 บาท) อาหารเวียดนามพื้นเมือง ที่ใช้แป้งปอเปี๊ยะแบบนิ่มห่อไส้หมูยอทานกับน้ำจิ้มหวานตามแบบฉบับ
ส่วนเมนูเด็ดที่ใครมาเป็นต้องสั่ง เริ่มจากออเดิร์ฟ ขลุ่ยปู (195 บาท) เป็นแท่งปอเปี๊ยะห่อไส้ทอดกรอบ ทานเบา ๆ ก่อนต่อด้วย สลัดปูนิ่ม (295 บาท) สลัดสารพัดผักใบเขียวราดน้ำสลัดเข้มข้น ทานคู่กับปูนิ่มที่ทอดจนกรอบทานได้หมดทั้งชิ้น ยำหอยแมลงภู่ (165 บาท) เมนูรสแซ่บ ที่ใช้หอยแมลงภู่ตัวใหญ่ราดน้ำยำสูตรพิเศษของที่ร้าน รสชาติจัดจ้าน หรือลอง ไก่ย่างข้าวเหนียวทอด (155 บาท) ไก่ย่างหมักเครื่องเทศเข้มข้น ทานกับข้าวเหนียวที่ห่อแป้งปอเปี๊ยะทอดกรอบเสียบไม้มา เก๋ไก๋ไม่เบา เรียกได้ว่ามาร้านนี้กี่ครั้งก็ไม่มีเบื่อแน่นอน เพราะเมนูอาหารมีหลากหลายมากค่
คุยกับ "Thanglong"
ด้วยระยะเวลาในการเปิดร้านที่ยาวนานกว่า 25 ปี การันตีได้ถึงรสชาติความอร่อยที่ไม่ซ้ำเดิม เพราะทางร้านมีการปรับปรุงเมนู รวมถึงการแต่งร้านให้ดูทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อให้ลูกค้าประจำไม่รู้สึกเบื่อ และได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ ในทุกครั้งที่มา ท่ามกลางการแข่งขันของร้านอาหารมากมายในย่านนี้ หากไม่เด็ดจริงคงอยู่ไม่ได้นานขนาดนี้ ไม่เชื่อต้องมาพิสูจน์ค่ะ
Recommended Dishes
- ข้าวเกรียบปากหม้อ
- ขลุ่ยปู
- สลัดปูนิ่ม
- ยำหอยแมลงภู่
- ไก่ย่างข้าวเหนียวทอด
ที่ตั้ง : 82/5 ซอยหลังสวน ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
โทร : 0-2255-4491, 0-2251-3504
เวลาเปิดบริการ : ทุกวันเวลา 11.00-14.30 น. 17.00-23.00 น.
ราคาต่อท่านโดยประมาณ : 301-500 บาทต่อคน
สัญชาติอาหาร : เวียดนาม
ประเภทอาหาร : ฟิวชั่น
รูปแบบการให้บริการ : ร้านอาหารทั่วไป
เหมาะสำหรับ : ครอบครัว, สังสรรค์ปาร์ตี้, นั่งชิลๆ, นัดเดท, จัดเลี้ยงโอกาสพิเศษ, คุยธุรกิจ
ที่จอดรถ : ลานจอดรถในบริเวณร้าน

“กวงเฮง“ ข้าวแกงหรอยอย่างแรง


ร้านนี้มีแกงหลายหม้อให้เลือกชิม ทุกหม้อรสชาติเผ็ดร้อนจัดจ้านแบบฉบับคนปักษ์ใต้ ไม่ว่าจะเป็นหลนไตปลา แกงเหลือง คั่วกลิ้ง ลูกเนียงผัดพริกแกง ถ้าวันไหนไปเจอเขาแกงกะทิใบเหลียงปลาย่าง ขอแนะนำให้สั่งเร็วพลัน เพราะมันอร่อยมาก รสชาติเข้มข้นหอมกลิ่นเครื่องแกง ทั้งใบเหลียงก็อ่อนหวานมันเข้ากันดีกับเนื้อปลาย่าง
อีกเมนูคือแกงปลาย่าง หน้าตาคล้ายๆ แกงไตปลา แต่ใช้เนื้อปลาย่างโขลกกับเครื่องแกงแทนไตปลา เครื่องแกงเคล้าปลาย่างหอมฉุนขึ้นจมูก อ้อ! ยังมีอีกเมนูเด็ด นั่นก็คือขนมจีนน้ำยากะทิปักษ์ใต้ น้ำพริก และแกงเขียวหวาน อร่อยแบบห้ามลืมชิม ตบท้ายด้วยขนมหวาน ลอดช่องน้ำกะทิ เฉาก๊วย เผือกบวด ข้าวเหนียวดำเปียก หวานๆ หอมๆ แก้เผ็ดดีนัก
ที่ตั้ง:ถ. ศาลาแดง อ. เมืองชุมพร เปิดเวลา 11.00-17.00 น. โทร. 0-7750-1079
เรื่อง: ระพีพร มีบัณฑิต ภาพ: วิจิตต์ แซ่เฮ้ง

ดำน้ำตะลอนชมปะการัง ที่ทะเลชุมพร


ว้า...แย่จัง ฟ้าปิดอย่างนี้แล้วจะดำน้ำสนุกมั้ยเนี่ยŽ"""""" เสียงเพื่อนร่วมก๊วนบ่นพึมพำ ท้องฟ้าในเช้าวันนี้ที่มีเมฆหมอกหนาทึบ ไร้วี่แววของแสงตะวัน ทำเอาพวกเรา "นายรอบรู้"เฉาไปตามๆ กัน เอาน่า เดี๋ยวสายๆ แดดคงมาแหละŽ ผมพูดให้กำลังใจ ก่อนไปติดต่อขอเช่าเรือภายในที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร ไม่นานเรือลำน้อยก็พาพวกเราทั้งเจ็ดชีวิตมุ่งหน้าออกสู่ทะเลกว้าง ค่อยๆ แล่นลัดเลาะผ่านป่าชายเลนไปจนพบกับเวิ้งทะเลสีครามกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
หาดทรายขาวกับปูลมบนเกาะทองหลาง
แดดออกแล้ว ดีใจจังŽ เสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้น บางคนรีบชโลมครีมกันแดด บางคนก็สาละวนลองเสื้อชูชีพกับหน้ากากกันน้ำ ส่วนผมเชียร์ให้เรือแล่นไปถึงจุดหมายเร็วๆ เพราะอยากเล่นน้ำทะเลใจจะขาด ไม่นานเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มมาตลอดทางก็ค่อยๆ เบาลงเมื่อถึง เกาะทองหลาง เกาะไม่ใหญ่โตนัก แต่มีจุดเด่นคือด้านตะวันตกของเกาะมีชายหาดขาวสะอาดเป็นแนวยาวกว่า 100 ม. ร่มรื่นด้วยแมกไม้นานาชนิด ทั้งบริเวณรอบๆ เกาะยังมีปะการังน้ำตื้นให้ดูอีกด้วย ทันทีที่เรือเบนหัวเข้าจอดที่ชายหาด ทุกคนต่างเริ่มทำกิจกรรมที่ตนเองชื่นชอบ บ้างดำน้ำดูปะการัง บ้างเก็บเปลือกหอยกองโตมาชื่นชม บ้างก็จับกลุ่มเล่นน้ำทะเลกันอย่างสนุกสนาน ผมชอบการผจญภัย จึงลงไปเดินสำรวจชายหาดทันที เฮ้ย! ปูŽ สาวร่างอวบในกลุ่มของเราจับปูลมตัวใหญ่ได้ด้วยความบังเอิญ พวกเรามุงดูด้วยความสนใจ ก่อนจับเจ้าปูมาเป็นแบบถ่ายรูปไปสองสามช็อต แล้วปล่อยมันลงสู่พื้นทรายตามเดิม เราใช้เวลาที่เกาะทองหลางนานพอสมควร ไอ้หนู ข้างหน้ายังมีสวยกว่านี้อีกเยอะŽ พี่แบนคนขับเรือตะโกนบอก พวกเราจึงเคลื่อนขบวนไปยังเกาะต่อไป
เที่ยวบ้านนกนางแอ่น ดูปะการังสวยที่เกาะรังกาจิว
จากเกาะทองหลาง นั่งเรือมาแค่ 10 นาทีก็ถึงเกาะรังกาจิว ซึ่งเป็นเขาหินปูนมีแนวโขดหินสูงชันเต็มไปด้วยโพรงถ้ำน้อยใหญ่ที่นกแอ่นพากันมาทำรังมากมาย เกาะรังกาจิวจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า เกาะรังนก บริเวณหน้าโพรงถ้ำริมชายหาดมีจารึกอักษรพระปรมาภิไธย จปร ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2432 พระองค์เสด็จประพาสเกาะนี้เพื่อทอดพระเนตรการเก็บรังนก ทางราชการเปิดให้เอกชนทำสัมปทานเก็บรังนก ในอดีตย้อนหลังไปราว 4-5 ปี ด้วยเกรงว่าจะมีคนมาขโมยรังนกจึงไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้นมาบนเกาะ ทั้งกำหนดขอบเขตระยะเข้าออกไม่ให้เรือแล่นผ่านใกล้รอบเกาะด้วย แต่ปัจจุบันอนุญาตให้ขึ้นไปบนหาดทรายของเกาะและสามารถดำน้ำชมปะการังรอบๆ เกาะได้ รอบเกาะรังกาจิวเป็นแนวปะการังน้ำตื้น มีดอกไม้ทะเลสีสันสวยงามให้ฝูงปลาทะเล ทั้งปลานกแก้ว ปลาการ์ตูน และปลาลายเสือ แหวกว่ายเล่น
ผมอยากเห็นปะการังน้ำตื้นชัดๆ เลยจัดแจงใส่เสื้อชูชีพพร้อมหน้ากากดำน้ำและสน็อกเกิลลงไปลอยตัวคว่ำหน้าบนผิวน้ำ ชมฝูงปลาและแนวปะการังอย่างสบายอารมณ์ วู้...ว...ว ดูสิ ปะการังสวยจริงๆŽ ผมร้องบอกพลางชี้มือชี้ไม้ชักชวนให้เพื่อนๆ ดูตาม แต่หอยเม่นเยอะ ระวังไปเหยียบโดนได้ร้องจ๊ากแน่Ž สาวร่างอวบคนเดิมเตือนให้ระวัง ขณะดำน้ำผมลองนับจำนวนหอยเม่น นับไปนับมาได้เกือบ 50 ตัวทีเดียว พวกเราเพลิดเพลินกับการดำน้ำจนลืมเวลา กระทั่งพี่แบนต้องร้องเรียกให้กลับมาที่เรืออีกครั้ง ก่อนเดินทางไปยังเกาะต่อไป พี่แบนขับเรือวนรอบเกาะรังกาจิวให้พวกเราชมวิว ผมไม่เห็นบ้านเรือนผู้คนบนเกาะเลย มองไปทางไหนก็เห็นแต่กระท่อมคนงานเฝ้ารังนกตั้งอยู่บนโขดหินสูงเต็มไปหมด
ยลดอกไม้ทะเลงามๆ ที่เกาะละวะ เกาะหลักแรด
พี่แบนในฐานะเจ้าถิ่นชี้ให้พวกเราดูดอกไม้ทะเลใต้น้ำทะเลซึ่งใสราวกระจก...นี่คือเสน่ห์ของเกาะละวะ ผมอดใจไม่ไหวกระโจนลงน้ำทันที เกาะละวะอุดมไปด้วยดอกไม้ทะเลและปะการังต่างๆ ผมมีโอกาสเห็นปลานกแก้วฝูงใหญ่สีสันสดสวย ฝูงปลาตะกรับลายหลังเหลือง รวมถึงปลาเล็กปลาน้อยมากมายหลายฝูงว่ายโฉบผ่านไป...เท่านี้ก็ประทับใจนักแล้ว หลังเติมพลังด้วยมื้อเที่ยงแสนอร่อย เราก็พร้อมลุยดำน้ำกันต่อ ดอกไม้ทะเลที่เกาะหลักแรดสวยกว่ามีเยอะกว่าที่อื่นๆŽ พี่แบนกระตุ้นพวกเรา แล้วก็ได้ผล... ไปเลยพี่ อย่ารอช้าŽ ผมเร่งเร้าให้เบนหัวเรือออกเดินทางทันที เพียง 20 นาทีเราก็มาถึงเกาะหลักแรด ผมถึงกับตะลึงอ้าปากค้าง แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง...น้ำทะเลเกาะหลักแรดใสแจ๋วขนาดนี้เชียวหรือ เพียงแค่ชะโงกหน้าจากเรือมองลงไปก็ได้เห็นโลกใต้ทะเลอย่างชัดเจน ดอกไม้ทะเลน้อยใหญ่ขึ้นอยู่เป็นบริเวณกว้าง เราต่างไม่รั้งรอ ผมคว้าหน้ากากดำน้ำมาสวมแล้วโจนลงทะเล ลอยตัวดำผุดดำว่ายบนผิวน้ำเท่านั้นไม่หนำใจ ดำแบบฟรีไดฟ์วิงสิŽ เพื่อนร่วมก๊วนเสนอ
ด้วยความที่อยากเห็นโลกใต้ทะเลชัดยิ่งกว่าเดิม ผมจึงตัดสินใจดำน้ำแบบฟรีไดฟ์วิง สวมหน้ากากดำน้ำแล้วก็สวมหัวใจสู้เต็มร้อย สูดลมเข้าเต็มปอดแล้วมุดลงน้ำไปเลย ปะการัง ดอกไม้ทะเล หอยเม่น หอยมือเสือ ฝูงปลาตัวเล็กตัวน้อยแหวกว่ายท่ามกลางโลกใต้ทะเลอันงดงาม เป็นดังความสุขซึ่งเอื้อมมือก็สัมผัสถึง โดยเฉพาะปลาการ์ตูนอินเดียนแดงสีส้มอมชมพู 2-3 ตัวหน้าตาน่ารักที่หลบซ่อนอยู่ในดงดอกไม้ทะเลนั้น เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ พวกมันทำท่าผลุบๆ โผล่ๆ ดูน่าขำ ทั้งพฤติกรรมตลกๆ อย่างนั้นก็ดูเหมือนเจ้าปลามีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนที่แหวกว่ายลงไปพบไปชมมัน การดำน้ำแบบฟรีไดฟ์วิงอาจดำได้ไม่ลึกและนานเท่าการดำน้ำลึกแบบสกูบา แต่มันก็ทำให้ผมได้รับประสบการณ์แปลกใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อน
เกาะมาตรากับฝูงปลาหลากชนิด
เกาะมาตราเป็นเกาะสุดท้ายของการเดินทางครั้งนี้ เมื่อเรือเบนหัวเข้าเทียบท่า ฝูงปลาตะกรับลายหลังเหลืองหรือปลาลายเสือก็ว่ายน้ำดุกดิกเข้ามาต้อนรับ สีสันสดสว่างของพวกมันแต่งแต้มให้น้ำทะเลมีเสน่ห์ชวนจดจ้อง ถึงตอนนี้เรี่ยวแรงของพวกเราบางคนเริ่มถดถอย ทำทีทำท่าบ่ายเบี่ยงไม่อยากลงดำน้ำ "ปลาที่นี่มีสวยๆ เยอะเลยนะ"Ž พี่แบนเพิ่มเติมข้อมูล จูงใจคนเริ่มอิดออด ตูม!Ž แต่ผมไม่รอช้า กระโจนลงคนแรก พร้อมให้กำลังใจตัวเองไปด้วย เอ้า! เหนื่อยเป็นเหนื่อย ขอให้ได้เห็นเป็นพอŽ ผมลอยตัวอยู่บนผิวน้ำไกลจากท่าออกไปพอสมควร ได้เห็นปลาผีเสื้อหน้าดำ 2 ตัวว่ายเคียงคู่กันไม่ยอมห่าง ผมเผลอว่ายน้ำตามโดยไม่รู้ตัว ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นปลาผีเสื้อแปดแถบซึ่งว่ายวนเวียนอยู่ตามแนวปะการัง ถือว่าโชคเข้าข้างผม เพราะไม่ง่ายนักที่จะได้เห็นปลาสวยงามชนิดนี้ ท้ายสุดผมยังได้ยลโฉมปลานกแก้วตัวใหญ่ 3-4 ตัวสีสันสะดุดตา แถมด้วยปลาเล็กปลาน้อยว่ายฉวัดเฉวียนไปมาอีกจำนวนมาก สุดยอด สุดยอดจริงๆŽ นั่นเป็นคำอุทานของผมสำหรับเกาะมาตราแห่งนี้
ทริปท่องทะเลชุมพร ดำน้ำมาราธอนครั้งนี้ คงอยู่ในใจผมไม่รู้ลืม ทั้งท้องทะเลสีคราม ปูลม นกแอ่น แนวปะการังสวยๆ ปลาทะเลสีสด ดอกไม้ทะเลงามๆ และเพื่อนร่วมทางที่แสนจะร่าเริง อย่างนี้แล้วใครจะลืมได้
รู้ไว้ก่อนไป!!
อุทยานแห่งชาติหมูˆเกาะชุมพร มีพื้นที่ทั้งหมด 317 ตร.กม. ครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งและเกาะต่ˆางๆ ตั้งแต่ อ. เมือง อ. สวี อ. ทุ่งตะโก ไปจนถึง อ. หลังสวน (เกาะต่างๆ นอกชายฝั่งอยู่ในความดูแลของ อ. ปะทิว) ตลอดแนวชายฝั่งทะเล จ. ชุมพรซึ่งยาวประมาณ 222 กม. นั้น อยูˆในเขตอุทยานแห่งชาติหมูˆเกาะชุมพรกว่ˆา 100 กม. ทั้งยังนับเป็นพื้นที่ปƒาชายเลนที่มีระบบนิเวศสมบูรณ์Œแห่ˆงหนึ่งของไทย เกาะที่อยูˆในความดูแลของอุทยานฯ มีทั้งหมด 40 เกาะ เกาะเหนือสุดคือเกาะจระเข้‰ อยูˆในเขต อ. ปะทิว ใต‰สุดคือเกาะคราม ใน อ. หลังสวน ส่วนเกาะที่เป็นแหลˆงดำน้ำที่มีชื่อเสียงก็เชˆน เกาะง่ามใหญˆ เกาะง่ามน‰อย เกาะหลักงˆาม เกาะทะลุ เกาะมาตรา เป็นต้น
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร เลขที่ 1/4 หมู่ 5 ต. หาดทรายรี อ. เมือง จ. ชุมพร 86120 โทร. 0-7755-8144-5
เรื่อง : อรรถวุฒิ ที่ปรึกษา ภาพ : วิจิตต์ แซ่เฮ้ง, นัท สุมนเตมีย์

ไวท์ โลตัส ห้องอาหารจีนบนยอดตึกแห่งแรกและแห่งเดียวในหัวหิน


ห้องอาหารจีนบนยอดตึกแห่งแรกและแห่งเดียวในหัวหิน ที่สามารถรับชมทิวทัศน์อ่าวไทยและตัวเมืองหัวหินได้โดยรอบ พร้อมอิ่มเอมไปกับอาหารจีนแท้ๆ ในแบบฉบับจีนกวางตุ้งและจีนเสฉวน
ที่นำเสนอในรูปแบบอาหารตะวันตกดูโมเดิร์นๆ น่ากิ๊นน่ากิน การันตีความอร่อยมาแล้วจาก Thailand Tattler Magazine และ Thailand King's Cuisine เมนูต้องลอง อาทิ เป็ดปักกิ่ง หนังเป็ดกรอบแผ่นใหญ่ ห่อกินกับแป้งนุ่มพร้อมเครื่องเคียง ราดซอสเข้มข้นรสหวานหอม ขอบอกเลยว่าห้ามพลาดเด็ดขาด
ส่วนเนื้อเป็ดลูกค้ายังสามารถเลือกนำไปปรุงเป็นอาหารจีนรสเลิศได้อีก 2 อย่าง เช่น ผัดพริกไทยดำ ผัดเต้าซี่ เมี่ยงเป็ด ฯลฯ จานต่อมา คือ สลัดกุ้งวาซาบิ จานนี้ให้คะแนนความหวานนุ่มของเนื้อกุ้งที่สดดึ๋งดั๋งที่เข้ากันได้ดีกับสลัดรสชาติกลมกล่อม
หมึกผัดพริกเกลือ หมึกไซส์ใหญ่ชุบแป้งทอด กรอบนอกเนื้อนุ่มเด้ง วางกินคู่กับน้ำจิ้มรสเปรี้ยวหวาน ออกเผ็ดนิดๆ อร่อยเต็มๆ คำ หน่อไม้ทะเลราดซอสปู คัดสรรแต่วัตถุดิบชั้นดีทั้งหน่อไม้ทะเล หน่อไม่ฝรั่ง เนื้อปู ไข่กุ้ง รสชาติกลมกล่อมเข้ากันมาก เป็นอีกเมนูที่น่าจะถูกใจใครหลายคน หรือถ้าอยากชิมอะไรนอกเหนือจากเมนู ก็สามารถสั่งเพิ่มได้ ถ้าทางร้านมีวัตถุดิบและเครื่องปรุง
อกจากนี้วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ที่นี่ยังมีติ่มซำบุฟเฟ่ต์ ในราคา 499 บาทเน็ต เปิดตั้งแต่เวลา 11.30-14.30 น. ส่วนวันอาทิตย์มีไชนิสบุฟเฟ่ต์ ในราคาคนละ 899 บาทเน็ต อีกด้วย คุ้มค่าขนาดนี้ตามมาชิมกันได้นะครับ รับรองว่าคุณจะติดใจเหมือนกับเราแน่นอน คอนเฟิร์ม!
ที่ตั้ง: โรงแรมฮิลตัน รีสอร์ท แอนด์สปา เลขที่ 33 ถนนนเรศดำริห์ อำเภอหัวหิน
เปิดปิดเวลา: 18.30-22.30 น.
โทร. 0 3253 8999

ศักดิ์สิทธิ์ สมบูรณ์ สำเร็จ เที่ยวเช้าไปเย็น-กลับ เมืองแปดริ้ว


เนิ่นนานปีที่ไม่ได้นั่งรถไฟไปเที่ยว จู่ๆ ก็คิดถึงเสียงล้อเหล็กกระทบราง คิดถึงเสียงรถไฟ คิดถึงบรรยากาศในโบกี้โดยสาร คิดถึงสายลมเย็นๆ ปะทะใบหน้ายามม้าเหล็กวิ่งทะยาน สุดท้ายความคิดถึงก็หอบเรามายังสถานีรถไฟหัวลำโพงเพื่อร่วมเดินทางไปกับโครงการ "มหัศจรรย์เที่ยวรอบกรุง ปีที่ 3" เส้นทางที่ 1 (ศักดิ์สิทธิ์ สมบูรณ์ สำเร็จ ) ในไตล์ One Day trip 
โดยมีจุดมุ่งมุ่งหมายปลายอยู่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา หรือที่เรียกกันติดปากว่าเมืองแปดริ้ว เมืองแห่งหลวงพ่อโสธรอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีผู้คนมักเดินทางมากราบไว้ขอพรเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงมีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย ซึ่งเต็มไปด้วยสีสันในวันพักผ่อนของทุกคน
ทริปนี้รถไฟไปฉะเชิงเทราออกจากจากสถานีหัวลำโพงราว 7 โมงเช้านิดๆ ตู้รถไฟที่นั่งไปครั้งนี้ก็แสนสะดวกสบาย เพราะเป็นตู้รถไฟปรับอากาศ ติดแอร์เย็นฉ่ำ แถมมีกิจกรรมสนุกสนานมากมายให้ทำระหว่างเดินทาง เรามาถึงสถานีรถไฟจังหวัดฉะเชิงเทราประมาณ 9 โมงนิดๆ ก็ออกเดินทางต่อโดยรถบัสไป วัดโสธรวราราวรวิหาร กราบนมัสการหลวงพ่อพุทธโสธร มหัศจรรย์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต (แนะนำว่าให้เดินทางไปแต่เช้า ถ้าไปสายคนจะเยอะมาก และหาที่จอดรถยาก)
จากนั้นเราก็เดินทางต่อไปชมความงดงามของประติมากรรมทรายในร่มที่ยิ่งใหญ่อลังการ สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระชนพรรษา 80 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นประติมากรรมทรายในร่มที่ใหญ่ที่สุดในโลกจากศิลปิน 70 กว่าท่าน
เที่ยวในตัวเมืองแล้ว เราก็เดินทางไปเที่ยวต่อที่ วัดสมานรัตนาราม มหัศจรรย์แห่งความสำเร็จและความอุดมสมบูรณ์ ไหว้พระพิฆเนศปางนอนเสวยสุขที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีขนาดความสูง 16 เมตร และความกว้าง 14 เมตร เนื้อชมพู ลักษณะนั่งกึ่งนอนตะแคงบนฐาน พระหัตถ์ซ้ายถืองาที่หัก พระหัตถ์ขวาถือดอกบัว โดยรอบฐานจะมีพระพิฆเนศทั้ง 32 ปาง วัดตั้งอยู่ริมแม่น้ำบางปะกง มีตลาดขายสินค้าและล่องเรือชมแม่น้ำได้
จากนั้นเดินทางไปเที่ยว ตลาดบ้านใหม่ ตลาดริมน้ำโบราณอายุกว่า 100 ปี สมัยก่อนเป็นแหล่งค้าขายของชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีน 
ทุกวันนี้ยังอนุรักษ์ความเก่าแก่ดั้งเดิมไว้จนถึงปัจจุบัน มีของกิน ของฝากให้เลือกชิมเลือกซื้อมากมาย มีอาหารไทยรุ่นคุณปู่คุณย่าสูตรดั้งเดิม บรรยากาศริมน้ำพัดเย็นสบาย เมนูเด็ด อาทิ ต้มยำกุ้ง ก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ น่าชิมทั้งนั้นเลย
และแวะไหว้พระวัดจีนประชาสโมสร มหัศจรรย์แห่งโชคลาภ ความอุดมสมบูรณ์ ณ ตำแหน่งท้องมังกร  เป็นวัดสมัยรัชกาลที่ 5 มีชื่อจีนว่าเล่งฮกยี่ แปลว่า มังกร แห่งโชคลาภ วาสนา เชื่อกันว่าใครเดินทางมาไว้พระแห่งนี้จะโชคดี ขอบอกว่า ทริปนี้เป็นอีกหนึ่งที่น่าสนุกและประทับใจ หากวันหยุดนี้เพื่อนๆ มีเวลาก็สามารถเดินทางมาเที่ยวได้ เพราะฉะเชิงเทราอยู่ใกล้ๆ แค่นี้เอง