วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ดอยหลวงเชียงดาว ความงามของขุนเขาที่ต้องไปสัมผัส

 ด้วยความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,225 เมตร ทำให้การจะไปเยือน “ดอยหลวงเชียงดาว” ถือเป็นเรื่องยากและลำบากพอสมควร แต่ความงดงามของทัศนียภาพอันงดงามรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นขุนเขาสลับซับซ้อน ทะเลหมอกสุดสายตา ความสมบูรณ์ด้วยดอกไม้ป่าภูเขา และนกที่หาชมได้ยาก กลับเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้นักเดินทางต่างก็อยากไปพิชิตกันสักครั้ง เฉกเช่นเดียวกับ คุณ popumon สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้มีโอกาสไปสัมผัสความงามของดอยหลวงเชียงดาว พร้อมถ่ายและบรรยากาศและวิธีการเดินทางมาให้เราได้ชมกันจ้า

  สรวงสวรรค์ “ดอยหลวงเชียงดาว” ถ้ายังเดินได้ แนะนำว่าต้องไป

          ออกเดินทางกับเพื่อน ๆ อีก 3 คน ขับไปเรื่อย ๆ จาก กทม. ในใจก็แอบคิดว่าจุดหมายปลายที่เราจะไปนั้นหน้าตาเป็นอย่างไรหนอ ?? ชื่อสถานที่ปลายทาง ณ ตอนนั้นยังไม่รู้เลยครับ ไปแบบไม่รู้อะไรเลย ไม่ได้ทำการบ้านอะไรมาก่อนเลย...รู้ว่าจะต้องเดินขึ้นดอยแค่นั้น (ผมคนเดียวนะ) มานั่งคิดอีกที ไปแบบนี้ก็ตื่นเต้นและสนุกดี 5555+ ความสวยข้างบนยอดสูงสุดนั้นมันมากมายกว่าที่เราวาดฝันไว้เสียอีก

          ทริปนี้คุ้มค่ากับ 3 วัน 2 คืน ที่แสนลำบากแบบฟิน ๆ ที่อุณหภูมิต่ำสุด -2 องศา (ตอนกลางคืน)

          การเดินทางเพื่อพิชิตดอยแบบคร่าว ๆ ครับ

          จากข้างล่าง-หน่วยพิทักษ์ป่าขุนห้วยแม่กอก ด้วย 4x4 = โดยสารประมาณ 2 ชั่วโมง
          หน่วยพิทักษ์ป่าขุนห้วยแม่กอก-จุดกางเต็นท์อ่างสลุง = เดินประมาณ 5-6 ชั่วโมง
          จุดกางเต็นท์อ่างสลุง-ยอดสูงสุด = เดินประมาณ 45 นาที (2 รอบเช้าเย็น)
          ยอดสูงสุด-จุดกางเต็นท์อ่างสลุง = เดินประมาณ 30 นาที (2 รอบเช้าเย็น)
          จุดกางเต็นท์อ่างสลุง-ปางวัว = เดินประมาณ 4-5 ชั่วโมง


ที่ยอดสูงสุดดอยหลวงเชียงดาว เราก็จะมองเห็นดอยพีระมิดและดอยสามพี่น้อง




 ดอยหลวงเชียงดาว สูง 2,225 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง
          ดอยพีระมิด สูง 2,175 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง
          ดอยสามพี่น้อง สูง 2,150 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง

          จากหน่วยพิทักษ์ป่าขุนห้วยแม่กอกถึงจุดกางเต็นท์อ่างสลุง ระยะทาง 8,500 เมตร มันช่างไกลเหลือเกิน เหนื่อยมาก ถึงแม้จะมีลูกหาบช่วยขนของแล้วก็ตาม ลูกหาบหนึ่งคนสามารถแบกของได้ 20 กิโลกรัม (เขากำหนดไว้) เดินมาได้ครึ่งทางก็มาเจอภาพแบบนี้ ทำเอาหายเหนื่อยกันเลย (เพราะยืนถ่ายพักกันนาน 55555+)



ยังไม่สะใจครับ จัด 800mm ส่องกันให้ดูใกล้ ๆ เลย



เกือบถึงจุดกางเต็นท์ก็มีวิวสวย ๆ แบบนี้ให้ยืนชม พักเหนื่อยกันอีก



ระหว่างทางผมแบกขาตั้งกับเลนส์ส่องนกไปด้วย เหนื่อยมาก ๆๆ ได้ภาพนกมาบ้างแบบไกล ๆ



ผมรั้งท้ายเสียแล้ว กลัวเพื่อน ๆ จะรอนาน เดี๋ยวจะไปถ่ายแสงเย็นไม่ทัน เลยตัดสินใจเก็บอุปกรณ์ถ่ายนกทั้งหมด มุ่งหน้าไปหาเพื่อน ๆ โดยพลัน จะหลับแล้ว ง่วงสุด ๆ พอไปถึงก็แอบตกใจนิดหน่อย...กางเต็นท์เตรียมอุปกรณ์ตั้งแคมป์กันครบหมดแล้ว คิดในใจสบายเลย เอ้ย !! ไม่ใช่...รู้สึกผิดครับ 555+ OK นั่งพักแป๊ปนึงเตรียมอุปกรณ์เฉพาะที่จำเป็น แล้วออกเดินทางมุ่งหน้าสู่จุดสูงสุดดอยหลวงเชียงดาวกันเลย !!! 45 นาทีเอง ตาย ๆ

          โอ้ว !! ข้างบนสวยมากทีเดียว ถ่ายรูป หมอปอ ซะหน่อย ทริปนี้เกิดขึ้นได้เพราะหมอปอคนนี้ครับ



 และแล้วเวลานี้ก็มาถึง...เมื่อกี้ตอนที่ผมขึ้นมาถึงยอดครั้งแรก ในใจก็คิดว่า "ที่นี่สวยดี" ณ เวลานี้ขอเปลี่ยนคำพูดใหม่ครับ "นี่มันสวรรค์ชัด ๆ"



เทคนิคที่ได้มาโดยบังเอิญ ณ ตอนนั้นครับ ได้มาโดยได้ยินเพื่อนคุยกันเรื่อง Flare เพื่อนอีกคนก็บอกว่าหาอะไรมาบังสิ เลยปิ๊งไอเดียนี้ขึ้นมาได้ครับ..."จิ้มสุริยะ" 5555+

          1. ถ่ายภาพแรกที่มี Flare
          2. ถ่ายภาพที่สองที่ตำแหน่งเดิม โดยใช้นิ้วปิดแหล่งกำเนิดแสง เช่น พระอาทิตย์ หลอดไฟ สปอร์ตไลท์ เป็นต้น
          3. เอามารวมซ้อน Layer ใช้ Mask ในการลบ Flare ที่ไม่ต้องการเป็นจุด ๆ ไป บางจุดถ้าอยู่ในพื้นที่โล่ง ๆ ไม่มี Details ซับซ้อนก็สามารถใช้ Healing Brush Tool หรือ Clone Stamp ได้

          ** ใช้ Mode M ในการถ่ายทั้ง 2 ภาพ
          ** ภาพที่เอานิ้วบังภาพจะ drop ลงมานิดหน่อย แต่สามารถปรับให้ตรงกันไม่ยาก



  และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่งามมาก ๆ ครับ แล้วก็แป๊ปเดียวด้วยที่เป็นแบบนี้ แสงแดดส้มอ่อนฉาบไปที่หมอก ดูแล้วสวยแปลกตาดีครับ




วันนี้เป็นวันที่โชคดีมาก ๆ ครับ มีคนบอกว่าทะเลหมอกส่วนมากจะเห็นได้ช่วงเช้า เอ๊ะ !! แต่นี่มันตอนเย็นนี่นา !!!! จะมีอะไรที่ฟินไปกว่าทะเลหมอกยามเย็น


มากันให้หมด ทะเลหมอก แสง Twilight แสงจักรราศี ดาวพระศุกร์ ทางช้างเผือก...เป็นช่วงเวลาที่ตื่นตาที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา และอยากจะบอกว่านี่คือครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้เห็นทะเลหมอกของจริงกับตาตรงหน้า


  วันนี้นอนหลับฝันดีแล้ว...มาดู Time-Lapse ทะเลหมอกแบบสั้น ๆ กัน สั้นจริง ๆ ครับ ไม่เชื่อลองกดดู





พวกเราตื่นกันแต่เช้า อากาศหนาวมาก พื้นหญ้าปกคลุมไปด้วยเกร็ดน้ำแข็งเล็ก ๆ เดินกันชิล ๆ ไปรอแสงเช้าบนยอดสูงสุดอีกครั้ง ภาพนี้เป็นทิศตะวันออกดูไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่นเลย โชคดีที่มีพระจันทร์สว่างเด่นลอยเหนือทะเลหมอก พร้อมกับขอบฟ้าสีส้มก่อนพระอาทิตย์ขึ้น




หลังจากนั้นช่วงบ่ายพวกเราก็หลับกันยาวเลย ตื่นมาก็นั่งเล่นคุยกัน พอใกล้เย็นก็เดินขึ้นไปบนยอดสูงสุดกันอีก วันนี้ก็ได้อีกอารมณ์หนึ่ง ถึงแม้ทะเลหมอกจะมีมากก็ตาม แต่พอช่วง Twilight กลับหายไปหมด แต่ก็ได้ท้องฟ้าที่งามมาก ๆ มาแทนครับ คุณคือผู้ที่มีพลังงานมากที่สุดในทริป หมอวี (นายแบบ) เหล่ามวลหมอกอย่าได้เกรงใจ จงออกมาให้เต็มที่ !!!! ริโอ เดอ จาเนโร



โจกับเสื้อแดงสุดเท่ กับหมอวีจอมพลัง VS ทะเลหมอก


    จงแสดงความงามออกมา



ช่วงเวลาที่รอคอยมาแล้ว วันนี้โลกเป็นสีม่วงชมพูนะครับ



สุดท้ายขอฝาก FB PAGE ไว้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
          FB : http://www.facebook.com/popumon
          PAGE : http://www.facebook.com/insecthunter

          ขอบคุณเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคนมากครับ แถมเตียงนุ่ม ๆ ให้หลับฝันดีกันครับ




เกาะกระต่าย ญี่ปุ่น เกาะโอคุโนชิมา สวรรค์ของคนรักกระต่าย

หากใครที่ชื่นชอบกระต่ายล่ะก็ จะต้องไม่พลาดที่จะไปเยือน "เกาะโอคุโนชิมา" หรือ เกาะกระต่าย ที่ประเทศญี่ปุ่น ที่ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นดั่งสวรรค์ของกระต่ายเลยล่ะ

          โดยเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557 เว็บไซต์ฮัฟฟิงตันโพสต์ของอังกฤษ ได้เผยแพร่สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตแห่งใหม่ของญี่ปุ่น นั่นก็คือ เกาะโอคุโนชิมา หรือ เกาะกระต่าย โดยอยู่ห่างจากฝั่งฮิโรชิมาเพียง 3.4 กิโลเมตร

          แต่เดิมเกาะแห่งนี้ถูกใช้เป็นที่ตั้งโรงงานผลิตก๊าซพิษในโครงการลับของกองทัพบูชิโดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างปี ​ค.ศ. ​1929-1945 หลังสงครามจบลง ทางการจึงอพยคนออกจากเกาะจนหมด และเชื่อว่ากระต่ายซึ่งถูกใช้เป็นสัตว์ทดลองก็ถูกปล่อยออกมาเช่นกัน ก่อนที่พวกมันจะขยายเผ่าพันธุ์จนครอบครองที่นี่ไปโดยปริยาย

          อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเกาะโอคุโนชิมาได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดโปรดของคนรักกระต่ายโดยเฉพาะ ที่ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถให้อาหารและเล่นกับพวกมันได้อย่างใกล้ชิด


เที่ยวเกาะลันตา สัมผัสมนต์เสน่ห์ของท้องทะเลและวิถีชีวิต

    เกาะลันตา เป็นเกาะขนาดใหญ่ที่มีผู้คนอาศัยต่อเนื่องมายาวนานกว่าร้อยปี ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ นับเป็นเกาะที่ยังคงความสวยงามของหาดทรายและน้ำทะเลสะอาด อีกทั้งยังมีวิถีชีวิตของชาวเกาะดั้งเดิม ที่มีทั้งชาวไทยพุทธ ชาวไทยจีน ชาวไทยมุสลิม และชาวไทยใหม่ (ชาวเล) อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ผสมผสานกับความเจริญที่เข้ามาเยือนได้อย่างลงตัว (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เกาะลันตา)

          นั่นแน่ ! เริ่มอยากลองไปสัมผัสเสน่ห์ความงามในด้านต่าง ๆ ของเกาะลันตากันแล้วใช่ไหมล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ลองตามบันทึกการเดินทางที่มาพร้อมกับภาพถ่ายสวย ๆ ของ คุณลูกอีสานบ้านเฮา สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้มีโอกาสไปเยือนเกาะแห่งนี้แล้วนำมาบอกเล่าความสวยงามให้เราได้ชมกันจ้า

          สวัสดีครับเพื่อน ๆ พี่น้องทุกท่าน ผมเพิ่งจะกลับมาจากไปพักผ่อนมาสด ๆ ร้อน ๆ ครับผม คือ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมไปเที่ยวที่ "เกาะลันตา" จังหวัดกระบี่มาครับ ถือว่าเป็นทริปแรกของปีนี้ครับ

          ทริปนี้ผมวางแผนไว้ตั้งแต่ช่วงที่สายการบินแอร์เอเชียออกโปรฯ ราคาถูกไปกลับ 160+790 = 950 บาท ครับผม เป็นทริป 4 คืน 5 วัน ผมไปแล้วประทับใจมาก และไม่ค่อยเห็นนักท่องเที่ยวไทยบนเกาะเลยครับ เลยอยากมาแบ่งปันประสบการณ์ดี ๆ ครับผม

          จริง ๆ ผมเคยไปเกาะลันตามาแล้วสามครั้งครับ แต่ทุกครั้งที่ไปก็เที่ยวในสถานที่ที่ไม่ซ้ำเลย และก็ได้ความสุขความประทับใจกลับมาทุกครั้ง จากการไปมาสามครั้ง สิ่งที่ผมสังเกตเห็น ก็คือ "นักท่องเที่ยวไทยไปไหนกันหมด ?" มีแต่ฝรั่งเต็มเกาะเลยครับ



Edit:  ขออนุญาตเพิ่มเติมข้อมูล เนื่องจากมีหลายท่านอยากรู้ว่าทริปนี้หมดไปเท่าไหร่ครับ 

           ค่าตั๋วเครื่องบิน 950 บาท
           ค่ารถตู้จากเกาะลันตามาสนามบิน 200 บาท (ตอนไปเกาะมีเพื่อนมารับครับ)
           ค่าที่พัก ผมนอนที่ Non La Mer Hostel เป็นรุ่นพี่ที่รู้จักกัน เค้าเลยคิดราคาพิเศษครับ 4 คืน พี่เค้าเอา 1,000 บาท แต่ถ้าเป็นราคาทั่วไปอยู่ที่ 580 บาทต่อคืน
           ค่าทัวร์ ผมไปดำน้ำหนึ่งวัน ได้ราคาคนรู้จัก (คือเพื่อนเยอะ) 700 บาท
           ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติเกาะลันตา (ที่ไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดิน) 40 บาท
           ที่เหลือก็เป็นค่าอาหารไม่แพงเท่าไหร่ครับ ยิ่งไปเที่ยวกับเรือด้วย เค้าเลี้ยงอาหารกลางวันครับ ก็วันละประมาณ 100 บาท รวมแบบคร่าว ๆ ก็ประมาณ 3,000 บาท สำหรับทริปนี้ครับ (4 คืน 5 วัน)

           ส่วนข้อมูลนี้เป็นข้อมูลทั่วไปสำหรับเที่ยวเกาะลันตาครับ (ราคาแบบไม่ใช่คนรู้จัก ฮ่า ๆ) 

          ทริปเที่ยวเกาะต่าง ๆ+Snorkelling มีให้เลือกสามรูปแบบครับ ได้แก่

          เรือหางยาว คนละ 800 บาท
          เรือใหญ่ คนละ 1,200 บาท
          เรือสปีดโบ๊ท คนละ 1,500 บาท และราคาอาจจะลดลงมาได้นิดหน่อย ถ้าซื้อผ่านเอเจนท์ครับ

          ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซค์ผมเห็นมีที่ราคา 200 บาท ต่อ 24 ชั่วโมง
          ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติเกาะลันตา คนไทย 40 บาท รถยนต์ 30 บาท มอเตอร์ไซค์ 20 บาท
          ในอุทยานฯ จะมีทางเดินชมธรรมชาติในป่า ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร สามารถกางเต็นท์ได้ มีห้องน้ำบริการด้วยครับ

          ส่วนที่พักมีหลายราคาเลยครับ ดูตามงบประมาณเลย ตั้งแต่  280 บาท ต่อคืนขึ้นไป หาง่ายครับ แถวตลาดติดท่าเรือก็มีที่พักเยอะ และติดหาดสวย ๆ ด้วย

          ค่ารถตู้จากเกาะมาสนามบิน 200 บาท ส่วนตอนไปรับเนี่ย ผมไม่แน่ใจครับ

          ค่าอาหาร ราคาเท่า ๆ อาหารในร้านแถวกรุงเทพฯ ครับ

          การซื้อทริปแบบ One Day Trip มีเอเย่นต์เยอะมาก ไปซื้อตอนถึงที่นั่นก็ได้ครับ

          หากมีข้อสงสัยใด ๆ สามารถส่ง inbox  มาก็ได้นะครับ

          ** Edit เพิ่มเติมครับ ***

          ผมมีเฟซบุ๊กของพี่ที่เค้าอาศัยที่เกาะลันตาเลยครับ เป็นพี่ที่ดูแลตลอดการเดินทางที่ผมไปพัก นิสัยดีมากครับ ไว้ใจได้ เค้าเป็นคนพื้นที่ถ้าข้อมูลเชิงลึกอาจจะถามพี่เค้าได้นะครับ พี่เค้ายินดีให้ข้อมูล เพราะเค้าก็อยากให้คนไทยไปเที่ยวเกาะลันตาบ้างเหมือนกัน  นี่คือเฟซบุ๊กพี่เค้านะครับ  เฟซบุ๊ก Yatiwat Ohh


           ข้อมูลสำหรับการเดินทางไปยังเกาะครับ สามารถใช้บริการรถตู้ได้ครับ 

          ถ้ามารถทัวร์จากกรุงเทพฯ รถตู้มีทุกชั่วโมง เริ่ม 7 โมงเช้า เพราะฉะนั้น ถ้าจะมารถทัวร์ให้กะเวลาให้ดีเพราะบางคันมาถึงตี 5 จะมานั่งรอเสียเวลาเปล่า ส่วนเบอร์รถตู้ที่ กระบี่-ลันตา โทรศัพท์ 08 1606 3591 ให้โทร.จองและบอกให้มารับที่สถานีขนส่งกระบี่ ไม่อย่างนั้นต้องซื้อจากเอเย่นต์ที่เค้าจะมาถามว่าจะไปไหน แต่จะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มจาก 150 บาท เป็น 200-250 บาท ก็เป็นได้

          ส่วนกลุ่มที่มาจากสนามบินก็โทร.แจ้งให้ไปรับ นัดจุดรับให้เรียบร้อย จะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มจาก 150 บาท เป็น 200 บาท ราคานี้ถึงโรงแรมหรือรีสอร์ทเลย เค้าจะส่งถึงที่ครับ

          ขอบคุณครับ

          วันเดินทางไปที่กระบี่ ผมออกเดินทางประมาณ 18.00 น. ครับ แต่เพราะว่ากลัวเรื่องรถติด เลยรีบไปตั้งแต่ 16.30 น. ระหว่างนั้นก็เลยถ่ายภาพบรรยากาศในสนามบินมาฝากด้วย



นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ กล้านอนกับพื้นมากเลยนะครับ ผมเจอมาหลายประเทศแล้ว ที่นอนราบไปกับสนามบินแบบนี้


 เมื่อก่อนนั้นผมไม่ค่อยชอบภาพขาวดำเลยครับ แต่หลังจากเริ่มไปดูงานภาพถ่ายแนว Street Photography ก็เริ่มหลงเสน่ห์ในความคลาสสิกของภาพแนวนี้ ดังนั้น ภาพเปิดกระทู้สักสี่ห้าภาพ จะเป็นภาพขาวดำนะครับ แฮะ ๆๆๆ


  แม้มนุษย์จะเป็นสัตว์สังคม แต่ทุกคนต่างก็ต้องการมี "พื้นที่ส่วนตัว" การภาพถ่ายนอกจากจะฝึกเรื่องมุมมองแล้ว มันทำให้ผมได้ฝึกวิเคราะห์เรื่องเล่าจากภาพด้วยครับ (แต่ก็ไม่เก่งหรอกครับ มั่วเอา ฮ่า ๆๆ)


 ด้วยความที่รอขึ้นเครื่องค่อนข้างนาน ก็เลยขอถ่ายภาพนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปพร้อม ๆ กัน เป็นสต็อกไว้ก่อนละกันครับ จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงประกาศให้เตรียมตัวขึ้นเครื่องครับ ตื่นเต้นมาก ๆ


ผมเป็นคนที่ชอบท้องฟ้ามาก ๆ เวลาเดินทางด้วยเครื่องบินผมจึงมีความสุขมาก เพราะจะได้ลุ้นว่าวันนี้ท้องฟ้าจะเป็นอย่างไรบ้างนะ และนี่คือท้องฟ้าที่มาต้อนรับการเดินทางของพวกเรา เป็นท้องฟ้าในยามอาทิตย์อัสดง ก้อนเมฆปะทะแสงอาทิตย์แบบทไวไลท์ครับ


ท้องฟ้าในยามเย็น ๆ ครับ



ท้องฟ้าในยามเย็นนั้น มีเสน่ห์อีกอย่าง ก็คือ เรื่องของสีสันครับ เวลาผ่านไปแป๊บเดียว ก็จะมีสีอีกสีหรือหลาย ๆ สีมาแทนที่ อย่างเวลานี้ก็เป็นบรรยากาศดังภาพ


มองลงมาเบื้องล่างก็ประทับใจไม่แพ้กันครับ



ผมเดินทางไปถึงตัวเมืองกระบี่และนั่งรถไปยังเกาะลันตา กว่าจะถึงที่พักก็ราวสี่ทุ่มแล้วครับ ดังนั้น ในวันแรกของทริปจึงยังไม่มีภาพที่เกาะมาฝาก

          ในวันรุ่งขึ้นกิจกรรมวันนี้ผมวางแผนไว้ไปเที่ยวตอนเย็นครับ (ตอนกลางวันนั่งทำงานเขียนโค้ดอยู่ที่ Hostel... เอิ่ม...ได้ข่าวว่าไปเที่ยว ??)

          และสถานที่แห่งนี้ผมก็พึ่งจะเคยไปครั้งแรกครับ "อุทยานแห่งชาติเกาะลันตา" เป็นชุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยมาก ๆ อีกจุด ที่อุทยานฯ มีหินมน ๆ เต็มไปหมดเลยครับ สวยงามมาก ๆ หินบางก้อนก็ใหญ่มาก ๆ คนที่ชอบถ่ายภาพ Texture หรือภาพสายน้ำปะทะก้อนหินน่าจะชอบสถานที่แห่งนี้


สำหรับวันนี้ผมก็พลาดอีกอย่างครับ มัวแต่ทำงานจนลืมตรวจดูแบตเตอรี่กล้อง เลยมีภาพไม่ค่อยจุใจ



วันนี้ผมไปมีนักท่องเที่ยวไปดื่มด่ำที่นี่ไม่กี่คนครับ รู้สึกประหนึ่งว่าโลกนี้เป็นของเรา ฮ่า ๆๆ



อุทยานฯ นี้จะมีสองฝั่งครับ (ติดกัน มีทางเชื่อมเนินเขาย่อม ๆ กั้น) ฝั่งพระอาทิตย์ตกดินจะมีก้อนหินมน ๆ เยอะ และหาดทรายไม่ละเอียดเท่าอีกฝั่งครับ แต่คลื่นจะสงบกว่า


 ภาพนี้คือทะเลฝั่งตรงกันข้ามครับ คลื่นจะแรงกว่า แต่หาดทรายก็ละเอียดกว่าครับ


วันรุ่งขึ้นผมจะไปดำน้ำครับ รถรับส่งจะมารับเราที่ Hostel เลย ทริปนี้ผมไปดำน้ำที่เกาะห้า ภาพนี้ถ่ายที่ท่าเรือตรงบริษัททัวร์ดำน้ำ Go Dive



ภาพถ่ายริมน้ำอีกสักใบก่อนเรือออก ครั้งนี้ผมเดินทางด้วยเรือใหญ่ครับ


ที่เกาะห้าเหมาะมากสำหรับการดำน้ำลึก (Diving) แต่ผมดำไม่เป็นครับ เลยได้แต่ดำ Snorkelling โอ้โห ! ภาพใต้น้ำสวยมาก ตอนที่แสงอาทิตย์ส่องลงไปยังพื้นใต้ท้องทะเล มันเป็นลำ ๆ แล้วก็ฝูงปลาเป็นพัน ๆ ตัว ว่ายใกล้ ๆ เรา เป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจมาก แต่ผมก็ไม่มีกล้องถ่ายภาพใต้น้ำ ฮ่า ๆ ต้องไปสัมผัสกันเอง  เพื่อนผมบอกว่าถ้าแกดำน้ำลึกเป็นแล้วจะเข้าใจว่าการเอาเงินไปละลายน้ำมันมีความสุขอย่างไร ฮ่า ๆๆ



ตอนดูภาพนี้ มองผ่าน ๆ ผมนึกว่าว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำ เห็นพี่ที่บอกว่าตรงลากูนของเกาะนี้น้ำจะใสกว่านี้เยอะมาก แต่วันที่ผมไปคลื่นแรงครับ ทางทัวร์เลยบอกว่าเพื่อความปลอดภัยจึงมาดำน้ำที่หลังเกาะแทน ซึ่งก็มีปลาดาวและปะการังให้ดูชมเยอะเหมือนกัน




ทริปนี้ผมถ่ายภาพชิล ๆ ครับ



ทริปนี้มีคนไปเรียนดำน้ำลึกด้วย เป็นทัวร์ที่มีแต่ฝรั่ง แม้กระทั่ง สตาฟก็เป็นฝรั่งครับ




   ผมทราบแต่ราคา Snorkelling นะครับ ถ้าเป็นเรือหางยาว 800 บาท เรือใหญ่ 1,200 บาท และสปีดโบ๊ท 1,500 บาท ต่อท่านครับ

          มีอาหารกลางวันเลี้ยงแบบบุฟเฟ่ต์ ระหว่างวันก็มีน้ำมีโอวัลติน กาแฟบริการครับ ถือว่าดีมาก ๆ คุ้มราคา


          สตาฟบนเรือครับ เป็นชาวฝรั่งเศส ผู้คลั่งไคล้ในท้องทะเล ระหว่างเดินทางเค้าก็เทคแคร์ดีมาก คอยถามว่าโอเคหรือเปล่า เมาเรือไหม ? ถ้าหิวก็กินนู้นนี่นั่นได้นะ คือ พยายามผูกมิตรกับลูกทัวร์ดีมากครับ




ภูมิใจในทะเลไทย สวยจริง ๆ ครับ เคยไปที่บาหลีมันก็สวย แต่สัมผัสไม่ค่อยได้ คลื่นแรงเกิน ฮ่า ๆ



ส่วนใหญ่ลูกทัวร์ไปดำน้ำลึกกันครับ เห็นได้ใบประกาศนียบัตรด้วยตอนกลับเข้ามายังเกาะลันตา




ต่อมาขอนำภาพบรรยากาศในที่พักมาฝากครับ ผมพักที่ Non La Mer (นอนละเมอ) Hostel ครับ เป็นที่พักใหม่ ราคาช่วงนี้ก็คืนละ 580 บาทครับ เหมาะสำหรับคนที่อยากได้เพื่อนใหม่ ๆ ระหว่างเดินทาง เป็นห้องนอนรวมมาตรฐาน Hostel ทั่วไป สะอาด สตาฟใจดี (อวยเต็มที่ ฮ่า ๆ) และใช่ครับ ผมเป็นนักท่องเที่ยวเอเชียหนึ่งเดียวผู้โดดเด่นในบรรดาแขกที่มาพัก


ผมเคยสงสัยเหมือนกันว่าทำไมไม่ค่อยเจอนักท่องเที่ยวไทย ปรากฏว่ามีคนเคยตอบว่า เพราะว่าที่เกาะลันตาถ้ามาเที่ยวราคาค่อนข้างสูง เพราะฝรั่งเยอะ เค้าเลยขายราคาฝรั่ง แต่ไม่นะครับ ผมไปมาราคามันก็ Standard คนไทยเที่ยวได้ครับ ดังนั้น พอทราบดังนี้ผมเลยออกไปเก็บข้อมูลหลัก ๆ มาฝาก ว่ามันไม่ได้แพงอย่างที่กลัวเลยครับ


อย่างที่ที่พักตรงนี้ครับ ที่พักชื่อว่า Lanta House อยู่ในตลาด เดินทางสะดวกมาก ติดท่าเรือด้วย ราคาช่วงพีคซีซั่น ห้องพักพัดลม เริ่มต้นที่ 280 บาทต่อคืนเองครับ ถ้าห้องแอร์+scooter ก็ 430 บาทต่อคืน !! แถมมีจักรยานให้ปั่นฟรี แต่ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวมครับ ซึ่งผมว่ามันก็รับได้อยู่ครับ และผมก็เดินไปละแวกใกล้เคียง มีห้องพักแอร์ ห้องน้ำในตัว คืนละ 800+ บาท ก็มีให้เลือกเยอะครับ โลเคชั่นก็ดีด้วย

          ส่วนราคาเช่า scooter ขับรอบเกาะ ราคาที่ผมไปสำรวจมาจะอยู่ที่ 200 บาท ต่อ 24 ชั่วโมง ค่าอาหารตามร้านตามสั่งทั่วไป ก็เริ่มต้นที่ 50 บาทต่อจาน ครับ ค่าทริปแบบ One Day Trip ก็มีหลายราคา หลัก ๆ ก็จะแบ่งเป็น เรือหางยาว 800 บาท เรือใหญ่ 1,200 บาท และเรือสปีดโบ๊ท 1,500 บาท ถ้าซื้อตามเอเย่นต์ก็ต่อรองได้นิดหน่อยครับ ยิ่งไปกันหลายคน มีคนร่วมแชร์ค่าห้อง ค่าเช่ารถ ผมว่าประหยัดลงได้เยอะครับ





ผู้คนบนเกาะเป็นมิตรมาก ๆๆๆๆๆ เจอกันก็ยิ้มให้ครับ จริง ๆ นะ นักท่องเที่ยวบางคนมาเที่ยวและพักที่เกาะนี้ทุกปี ปีละเป็นเดือน ๆ อย่างเช่นมีอยู่ครั้งหนึ่งผมได้รู้จักกับครอบครัวนักท่องเที่ยวชาวสวีเดน เค้าหนีหนาวมาเกาะลันตา เค้าบอกว่าเค้ามาทุกปี ปีหนึ่งก็อย่างต่ำหนึ่งเดือน เค้าประทับใจความสวยงามของเกาะนี้มาก มันยังมีความดิบอยู่ แต่ตรงจุดที่เป็นเมืองก็มีความเจริญบริการแบบอยู่ได้ไม่ลำบาก ทุกคนยังรักษาความสะอาด และธรรมชาติของเกาะไว้ค่อนข้างดี เค้าภูมิใจแทนคนไทยที่มีธรรมชาติสวย ๆ แบบนี้ คนที่นี่ก็ต้อนรับนักท่องเที่ยวดีมาก ช่วยเหลือโดยไม่หวังผลตอบแทนก็เยอะ คือ ไม่ได้มองว่าจะขูดรีดนักท่องเที่ยวตลอดเวลา ซึ่งมันค่อนข้างหาได้ยากเมื่อเค้าไปเที่ยวที่อื่น ที่ผู้ประกอบการมักจะเรียกราคาฝรั่งแพง

          แต่เค้าเองก็แอบแปลกใจ เพราะตลอดหนึ่งเดือนที่มาอยู่เกาะนี้ เค้าแทบจะไม่เห็นคนไทยมาเที่ยวเลย ตอนแรกเค้ายังแปลกใจที่เห็นผมพูดกับคนขับรถได้ เพราะไม่นึกว่าผมเป็นคนไทย (อืม...ผมคงหน้าเหมือนคนนิวยอร์ก ย่านแมนฮัตตันกระมังครับ ฮ่า ๆ) เค้าถามผมว่า...หรือคนไทยไม่ชอบเกาะลันตาเหรอ ?

          ผมก็ตอบไปว่า ถ้าพวกเค้าได้มาเค้าก็ต้องชอบแหละ เพียงแต่ว่าหลายคนอาจจะไม่ได้มา เพราะกลัวเรื่องราคา เกาะนี้มีแต่ฝรั่งอาศัยเต็มไปหมด ตอนผมมาครั้งแรกผมก็ยังหวั่นใจเหมือนกัน กลัวว่าค่าใช้จ่ายจะบาน ฝรั่งคนนั้นรีบพูดมาว่า โอย...ที่นี่ไม่แพงเลยนะ ผมไปพัทยามาไม่สวยเท่านี้ แต่แพงกว่านี้ตั้งเยอะ ที่นี่ค่าใช้จ่ายก็เหมือนเที่ยวกรุงเทพฯ นะ

          ซึ่งผมก็เห็นด้วยครับ ถ้าเราไม่ได้พักหรูหราไฮโซมาก เกาะนี้ไม่แพงเลย อยู่แบบคนเดินดินธรรมดา ราคารับได้ครับ



อยู่เกาะนี้ทักษะภาษาได้ใช้เยอะครับ ผมก็เลยจินตนาการว่ากำลังมาเที่ยวต่างประเทศ 555


 ต่อมาครับ ผมจะพาไปเดินเล่น ๆ ที่หมู่บ้านชาวเล ที่อยู่ติดกับท่าเรือศาลาด่านบนเกาะลันตา หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านที่รักษาความเป็นตัวเองไว้ค่อนข้างสูง แม้จะอยู่ห่างจากตลาดไม่มากนัก แต่พอเดินเข้าไปในหมู่บ้านก็เหมือนไปอยู่อีกโลกหนึ่ง



ผมไปที่หมู่บ้านนี้ตอนเย็น เพราะมีรุ่นพี่ที่เกาะชวนไปตกปลาหมึกและออกไปดูพรายน้ำครับ ผมก็ไม่เคยตกปลาหมึกมาก่อน (ครั้งก่อนเคยไปแต่ไม่ได้สักตัว เลยเหมาว่าเอาเป็นว่าไม่เคยไปละกัน) ส่วนพรายน้ำก็ได้ยินแต่คนบนเกาะเล่าให้ฟัง บอกว่ามันเป็นแพลงก์ตอนเรืองแสงครับ ตอนที่อยู่ที่ทะเล เมื่อเราเดินเรือมันจะส่องแสงออกมา เหมือนหิ่งห้อยในน้ำ และถ้าเราจอดเรือแล้วเอามือไปกวัก ๆ น้ำจะเห็นมันเรืองแสงเต็มไปหมด คล้าย ๆ หนังเรื่อง Life of Pi ผมได้ยินสรรพคุณแล้วก็สนใจมาก อยากไปเห็นด้วยตา



 ระหว่างรอฟ้ามืด ผมก็เดินเก็บภาพเรือในหมู่บ้านไปพลาง ๆ ครับ



 เริ่มออกเดินทางด้วยเรือหางยาวครับ วู้วววววววววว ตื่นเต้น ๆ จะได้ตกปลาหมึก จะได้เห็นแพลงก์ตอนเรืองแสง

          พอไปถึงเราตกปลาหมึกได้ "สองตัว" ครับ T.T แต่ผมก็ตื่นเต้นนะ ไม่เคยเห็นปลาหมึกตัวเป็น ๆ มาก่อน ปลาหมึกตัวใสมาก แต่ตอนนั้นฟ้ามันยังไม่มืดสนิท ผมก็เลยนั่งบนเรือเล่นไอแพด อัพเดทเฟซบุ๊กไปพลาง ๆ สักพัก หนุ่มชาวเลก็บอกว่าลองเอามือกวักน้ำดูสิพี่ แล้วพี่จะเห็นพรายน้ำ แล้วผมก็ลองทำดูครับ...โอ้แม่เจ้า !! มันมีแพลงตอนเรืองแสงจริง ๆ ครับ คือ พอเราเอามือไปกวักน้ำมันจะเห็นเป็นสีขาว ๆ จุด ๆ เรืองแสง เยอะมากกกก (แต่ไม่เยอะเหมือนในหนัง Life of Pi หรอกครับ) ผมสนุกกับการกวักน้ำเป็นการใหญ่

          แต่เป็นที่น่าเสียดาย ถ่ายภาพตอนกลางคืนไม่เป็น เปิดวิดีโอมันก็มืดสนิท ผมไปค้นหาวิดีโอตัวอย่างมาฝากครับ อารมณ์คล้าย ๆ ในวิดีโอนี่แหละ แต่ไม่ได้เยอะขนาดนี้ครับ แต่ก็ตื่นตาตื่นใจเหมือนกัน ตอนแรกผมนึกว่าเป็นเพราะแสงสะท้อนกับน้ำ แต่จริง ๆ มันไม่ใช่ครับ มันเป็นแพลงก์ตอนเรืองแสงจริง ๆ


          เมื่อคืนหลังจากเห็นแพลงก์ตอนเรืองแสง ผมก็อิ่มอกอิ่มใจมากแล้วละครับ กลับไปนอนหลับฝันดีเลยทีเดียว

          วันรุ่งขึ้นเป็นวันสุดท้ายของทริปครับ ผมเลยเดินทางไปถ่ายรูปแถวชายหาดบนเกาะมาฝาก ขอบอกว่าหาดบนเกาะก็ใสมาก ๆ เหมือนกัน แถมมีทะเลแหวกที่สวยไม่แพ้ทะเลแหวกสามเกาะจังหวัดกระบี่เลยครับ มันแหวกวันละสองรอบ




เดินเก็บภาพไปเรื่อย ๆ เพราะบินกลับกรุงเทพฯ ตอนสองทุ่ม



วิวสวยดีนะครับ ตรงหาดนี้ถ้าน้ำลดจะกลายเป็นทะเลแหวก และสามารถเดินไปยังเกาะที่มองเห็นนั่นได้เลยครับ



เป็นทริปที่คุ้มค่าชีวิตมาก ๆ ได้ความสุขกลับมาเต็มเปี่ยม






 ภาพปิดท้ายทริปนี้ครับ แม้จะอยู่บนเกาะ แต่อาหารการกินอุดมสมบูรณ์มากครับ ทริปนี้ผมไม่ได้ถ่ายรูปเยอะเท่าไหร่ เพราะไปทำกิจกรรมทางน้ำเป็นส่วนใหญ่นะครับ การไปเที่ยวครั้งนี้สนุกมาก เลยอยากมาชวนทุกท่านไปสัมผัสความสนุกด้วยกัน ราคาไม่แพงครับ...ยิ้ม

          ขอบคุณที่ติดตามการเดินทางครั้งนี้ครับ

          ค่าเรือประมาณ 200 บาทครับ

          เพิ่มเติมครับ ผมมีเฟซบุ๊กของพี่ที่เค้าอาศัยที่เกาะลันตาเลยครับ เป็นพี่ที่ดูแลตลอดการเดินทางที่ผมไปพัก นิสัยดีมากครับ ไว้ใจได้ เค้าเป็นคนพื้นที่ถ้าข้อมูลเชิงลึกอาจจะถามพี่เค้าได้นะครับ พี่เค้ายินดีให้ข้อมูล เพราะเค้าก็อยากให้คนไทยไปเที่ยวเกาะลันตาบ้างเหมือนกัน  นี่คือเฟซบุ๊กพี่เค้านะครับ   เฟซบุ๊ก Yatiwat Ohh